มกราคม 18, 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD เริ่มตั้งแต่วันที่ 29 พฤศจิกายน 2019 ราคาได้ขยับขนานไปกับช่องขาขึ้น เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ราคาขยับถึงกรอบด้านบนของช่องที่ 1.1240 และจากนั้นได้เปลี่ยนทิศทาง และในวันที่ 8 มกราคม ราคาตัดทะลุกรอบด้านล่างของช่องดังกล่าวที่ 1.1225 “ราคาจะกลับสู่กรอบเดิมหรือไม่?” เราได้ถามคำถามนี้ในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) ตอบอย่างชัดเจนว่า “ไม่” และคำทำนายดังกล่าวก็ปรากฏถูกต้อง โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม ตลาดกระทิงพยายามผลักราคาขึ้น แต่แรงซื้อก็อ่อนกำลัง จนราคาขยับลดลงอย่างรวดเร็ว
    แม้แต่การลงนาม “ระยะที่หนึ่ง” ของข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนก็ไม่ช่วยตลาดกระทิง เอกสารดังกล่าวระบุว่า ปักกิ่งยินยอมที่จะเพิ่มการสั่งซื้อสินค้าและบริการของอเมริกาประมาณ $200 พันล้านดอลลาร์ในสองปีข้างหน้า และฝั่งวอชิงตันให้สัญญาว่าจะปรับลดภาษีสินค้านำเข้าจีนมูลค่า $120 พันล้านเหรียญให้เหลือ 7.5% และจะไม่บังคับใช้ค่าธรรมเนียมใหม่ใดๆ
    ทั้งนี้ โดยทั่วไปแล้ว ตลาดคาดหมายเหตุการณ์ดังกล่าวตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เหตุการณ์นี้ก็ยังส่งผลให้ดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ขยับขึ้นและค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย นักลงทุนยังคงปรับพอร์ตสินทรัพย์ โดยเลือกที่จะถือหุ้นมากกว่าถือเงิน
    อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าลงของดอลลาร์และคู่ EUR/USD ไม่นานก็สิ้นสุดลงภายหลังการประกาศรายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรปประจำเดือนธันวาคม และการประกาศยอดขายปลีกในสหรัฐฯ
    ในกรณีแรก ฝ่ายผู้บริหารธนาคารยุโรปประกาศว่า จะไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจนกว่าระดับเงินเฟ้อจะขยับถึงระดับ 2% นอกจากนี้ ธนาคารกลางฯ ยังไม่ตัดความเป็นไปได้ในการปรับอัตราดอกเบี้ยจากที่ระดับศูนย์ ณ ปัจจุบันเป็นในโซนติดลบ สำหรับปัจจัยที่สอง ปริมาณการค้าปลีกในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจาก -0.1% เป็น +0.5% และจากที่คุณทราบอยู่แล้วว่า ปริมาณการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคคิดเป็นกว่า 65% ของค่า GDP สหรัฐฯ ส่งผลให้เงินยูโรเริ่มเสียตำแหน่งต่อเงินดอลลาร์และราคาปิดตลาดในโซนระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญที่ 1.1100 ที่บริเวณ 1.1090
  • GBP/USD ราคาคู่นี้แสดงการเคลื่อนไหวที่คล้ายกันกับคู่ EUR/USD แต่ในปริมาณที่มากกว่า ดังนั้น หากค่าความต่างระหว่างราคาต่ำสุดและสูงสุดของสัปดาห์สำหรับคู่ EUR/USD เพียง 85 จุด ตัวเลขนี้จะเป็นสองเท่าสำหรับเงินปอนด์อังกฤษ
    แรงซื้อเงินปอนด์ในวันที่ 17 มกราคม ได้รับแรงหนุนมาจากรายงานยอดขายปลีกสหราชอาณาจักรของเดือนธันวาคม ดัชนีประจำเดือนนี้อยู่ในโซนลบและดัชนีรายปีมีค่าสามเท่าน้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์ ส่งผลให้ตอนท้ายสัปดาห์ ค่าเงินปอนด์อ่อนลงมาที่ระดับต่ำสุดของวันที่ 9 มกราคม และปิดสัปดาห์ห้าวันทำการที่ 1.3015 ซึ่งเป็นระดับที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่กำหนดว่าเป็นจุดวกกลับระยะกลาง (1.3000-1.3050) ของคู่นี้
  • USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญ 25% สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 75% และ 85% ของดัชนีเทรนด์โหวตว่าคู่นี้จะขยับขึ้นมาที่ระดับ 110.70 ราคาได้ขยับขึ้นจริง แต่แนวโน้มขาขึ้นหยุดลงที่ 110.30 ถึงแม้ว่าเงินเยนจะสูญตำแหน่งประมาณ 80 จุดเทียบกับเงินดอลลาร์ในระหว่างสัปดาห์ นี่อาจถือว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ เนื่องจากเป็นการตัดผ่านระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 110.00 ทั้งนี้ อย่าลืมว่าในครั้งที่แล้วหลังจากราคาผ่านระดับ 29.000 ดัชนีดาวน์โจนส์ก็ขยับขึ้นอย่างมั่นใจ และเป็นไปได้ว่าเหตุการณ์ที่เหมือนกันจะเกิดขึ้นกับคู่ USD/JPY เช่นกัน
  • คริปโตเคอเรนซี ทุกวันพุธ นักวิเคราะห์ของบริษัทโบรกเกอร์ NordFX จะประกาศบทรีวิวประจำสัปดาห์ของตลาดเงินคริปโตบนหน้าเพจ Facebook ของ NordFX รวมถึงช่องทาง Twitter และโซเชียลมีเดียอื่นๆ ในบทรีวิวของวันพุธที่ 15 มกราคม ระบุว่าราคาเหรียญ BTC ในเดือนกุมภาพันธ์มีโอกาสมากที่ขยับขึ้นไปที่ระดับ 9,500 ดอลลาร์ แนวโน้มขาขึ้นนี้สัมพันธ์์กับราคาทองคำ ตลอดจนปัจจัยภายนอกอีกหลายประการที่จะส่งผลให้ราคาบิทคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างน้อย $1,000 ต่อเดือน ปัจจัยที่ว่านี้ได้แก่ อันดับแรกคือการใช้เงินบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์หลบภัย หลักฐานที่ช่วยยืนยันปรากฏการณ์นี้คือราคาขาขึ้นของบิทคอยน์หลังจากข่าวความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับอิหร่าน
    เมื่อวันอังคารที่แล้ว ตลาดแลกเปลี่ยน Chicago Mercantile Exchange ประกาศการเปิดตัวสินทรัพย์ทางการเงินชนิดใหม่อย่างประสบความสำเร็จ ตัวเลือกบิทคอยน์ ซึ่งส่งผลให้ราคา BTC/USD ขยับถึงระดับสำคัญที่ระดับ $9,000 ในวันศุกร์ที่ 17 มกราคม ดังนั้น การเติบโตของราคาในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจึงเพิ่มขึ้นกว่า 22%
    อัลท์คอยน์ก็ดีดตัวสูงขึ้นจากแนวโน้มขาขึ้นของบิทคอยน์เช่นกัน Ripple (XRP/USD) เพิ่มขึ้นกว่า 25% Ethereum (ETH/USD) – 30% และที่น่าประทับใจที่สุดเป็นของ Litecoin (LTC/USD): การเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 50% โดยมูลค่าตลาดเงินคริปโตรวมเพิ่มขึ้น 14.5% และขยับถึง $245 พันล้านเหรียญสหรัฐ

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้::

  • EUR/USD เป็นเวลาสามสัปดาห์ติดต่อกันที่ราคาขยับลดลง เงินยูโรอ่อนค่าลงประมาณ 240 จุด ดัชนีส่วนใหญ๋ขณะนี้เป็นสีแดงทั้งในกรอบ H4 และกรอบเวลา D1 ส่วนออสซิลเลเตอร์จำนวน 75% ในกรอบเวลา H4 และ 65% ในกรอบ D1 รวมถึงดัชนีเทรนด์ 100% ในกรอบ H4 และ 90% ในกรอบ D1 บ่งชี้แนวโน้มราคาลงทิศใต้ โดยมีระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดที่ 1.1065 เป้าหมายตลาดหมีอยู่ที่ 1.1000
    ในขณะเดียวกัน ออสซิลเลเตอร์บางส่วนให้สัญญาณอย่างแข็งขันว่าราคาอยู่ในโซน oversold และผู้เชี่ยวชาญ 60% ก็โหวตแนวโน้มขาขึ้น พวกเขามองว่าราคาจะพยายามอีกครั้งที่จะกลับสู่กรอบช่องขาขึ้นระยะกลาง ซึ่งเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่ต้นเดือนธันวาคมปี 2019 โดยมีแนวต้านที่ใกล้ที่สุดที่ 1.1150 เป้าหมายอยู่ที่ 1.1200 และ 1.1240 แนวโน้มขาขึ้นอาจได้รับแรงหนุนจากเงินทุนที่ไหลออกจากตลาดหุ้น อันเนื่องมาจากสถานการณ์ตึงเครียดที่เริ่มคลายตัวในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน เหตุการณ์ช่วยลดโอกาสภาวะถดถอยที่จะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ถึง 24% ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำที่สุดในรอบแปดเดือนล่าสุด
    ในวันจันทร์ที่ 20 มกราคม จะเป็นวันหยุดในสหรัฐฯ แต่เป็นวันที่ธนาคารแห่งชาติจีนจะประกาศผลการตัดสินใจในอัตราดอกเบี้ย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 4.15% นอกจากนี้ เหตุการณ์อื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่ การประกาศดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจของเยอรมนีในวันอังคารที่ 21 มกราคม ซึ่งคาดการณ์ว่าตัวเลขจะลดลงจาก 10.7 เหลือ 4.3 และอาจทำให้เงินยูโรอ่อนค่าลงเล็กน้อย ส่วนในวันพฤหัสบดีจะมีการประกาศผลการตัดสินใจในอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรปตามมาด้วยการแถลงข่าวของผู้บริหารธนาคารกลางฯ และในวันศุกร์ที่ 24 มกราคม เราจะติดตามการประกาศดัชนีหลายตัว ได้แก่ ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจทั้งในเยอรมนีและในยูโรโซนโดยรวม

บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซี ประจำวันที่ 20 - 24 มกราคม 20201

  • GBP/USD ดัชนีมหภาคสองตัวจะช่วยประเมินสภาพเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร ได้แก่ อัตราการว่างงานของ ILO ซึ่งจะประกาศออกมาในวันอังคาร และดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของ Markit ในวันศุกร์ที่ 24 มกราคม อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เบร็กซิตที่จะมาถึงนั้นไม่น่าจะส่งผลอย่างจริงจังต่อการก่อตัวของเทรนด์คู่นี้
    ราคาปิดตลาดเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในโซนจุดวกกลับระยะกลางที่ 1.3000-1.3050 และ ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์นี้ ผู้เชี่ยวชาญ 60% เช่นเดียวกับในกรณีของเงินยูโร คาดการณ์ว่าราคาจะขยับสูงขึ้น ส่วนอีก 40% โหวตให้กับขาลง ในส่วนดัชนี โดยเฉพาะออสซิลเลเตอร์ดูให้ทิศทางรอบด้าน ในขณะที่การวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 บ่งชี้ว่าราคาจะขยับขึ้นในตอนแรกไปที่ระดับ 1.3120 และจากนั้นจะลดตัวลงมาที่ระดับ 1.2770 แนวรับอยู่ที่  1.2955, 1.2900, 1.2825 และ 1.2770 และแนวต้านอยู่ที่ 1.3120, 1.3210 และ 1.3285
  • USD/JPY สำหรับคู่นี้ทุกอย่างดูจะเข้าข้างฝั่งตลาดกระทิงเล็กน้อยซึ่งพยายามที่จะรักษาราคาให้เหนือระดับ 110.00 และขยับขึ้นให้สูงที่สุดเท่าที่ทำได้จากกรอบดังกล่าว ดังนั้นนักวิเคราะห์ 55% รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 70% ดัชนีเทรนด์ 95% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 และ D1 ชี้ว่าราคาจะค่อยขยับสูงขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีระดับแนวต้านสำคัญที่ใกล้ที่สุดที่ 110.75 และระดับถัดไปห่างขึ้นไป 100 จุด
    ผู้เชี่ยวชาญ 15% ให้คำคาดการณ์ที่เป็นกลาง และ 30% โหวตแนวโน้มขาลงของราคา สัญญาณจำนวนสูงสุดว่าราคาอยู่ในโซนที่มีแรงซื้อมากเกินไปเป็นของออสซิลเลเตอร์ในกรอบ D1 โดยมีระดับแนวรับหลักที่ 109.70 และหากราคาตัดทะลุระดับดังกล่าว ราคาอาจตกลงมาต่อเนื่องยังโซน 109.00 และจากนั้นจะลงไปที่ 108.40 ทั้งนี้มีแนวโน้มต่ำที่ราคาจะขยับถึงจุดต่ำสุดของวันที่ 6-8 มกราคม ที่โซน 107.65-107.75
  • คริปโตเคอเรนซี ในที่สุดมันก็เกิดขึ้น: ดัชนี Crypto Fear & Greed ได้ตัดผ่านเส้นตรงกลางและขยับขึ้นไปที่ 54 เข้าสู่โซนที่เรียกว่า “ความโลภ” (Greed) มันเป็นเรื่องดีหรือไม่? ตามความเห็นของผู้พัฒนาดัชนีมองว่าจะเป็นช่วงเวลาอันตรายสำหรับการเปิดตำแหน่งขายสั้นๆ ในขณะนี้ แล้วสำหรับตำแหน่งซื้อล่ะ?
    นักวิเคราะห์ 65% เชื่อว่ากำลังซื้อขาขึ้นของคู่ BTC/USD ยังไม่อ่อนกำลังลงและเป็นไปได้ที่ราคาจะขึ้นไปปักหลักในโซน $9,000-10,000
    อีกหนึ่งมุมมองทางเลือกสนับสนุนโดยผู้เชี่ยวชาญจำนวน 35% เห็นด้วยว่าสถานการณ์นี้ค่อนข้างคล้ายคลึงกับสถานการณ์เมื่อปี 2017 พวกเขาชี้ว่า นับตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2019 เราจะเห็นจุดสูงสุดที่ต่ำลงเรื่อยๆ : $13,765 ในวันที่ 26 มิถุนายน $13,170 ในวันที่ 10 กรกฎาคม $12,320 ในวันที่ 6 สิงหาคม $10,480 ในวันที่ 26 ตุลาคม และมีความเป็นไปได้ว่า $9,000 จะเป็นราคาสูงสุดในช่วงนี้ซึ่งจะตามมาด้วยการทรุดตัวลงของราคาอีกครั้งหนึ่ง
    แต่ ณ ขณะนี้ ตลาดยังคงปกคลุมไปด้วยทัศนคติที่สดใส และคำทำนายของผู้ชื่นชอบเงินคริปโตทั้งหลายกำลังทำสถิติที่ทั้งคาดคิดและไม่คาดคิด ตัวเลขคาดการณ์ที่ดูถ่อมตนมากที่สุดเป็นของบริษัทการวิเคราะห์ Fundstrat Global Advisors ซึ่งระบุว่าในปีนี้ ราคาบิทคอยน์มีโอกาสสูงที่จะทำกำไรให้กับนักลงทุน 100% ตามความเห็นของนายทอม ลี ผู้ร่วมก่อตั้ง Fundstrat ชี้ว่าปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะส่งผลต่อการเติบโตของราคาบิทคอยน์ ได้แก่ การฮาล์ฟเหรียญ ความเสี่ยงด้านภูมิศาสตร์การเมือง และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    คำทำนายที่ดู “ห่างไกล” มากที่สุดเป็นของนายอดัม แบ็ค ซีอีโอ Blockstream เขาเชื่อว่าความฝันว่าราคาบิทคอยน์จะมีค่าสูงกว่า $100,000 หรือแม้แต่ $10 ล้านเหรียญนั้นก็อยู่ไม่ไกลจากความจริง เขาให้ความเห็นต่อแนวคิดของหนึ่งในผู้แทนการเคลื่อนไหว cypherpunk นายฮาล ฟินนีย์ ซึ่งอดีตถือว่าเป็นนักพัฒนาคนที่สองของบิทคอยน์ถัดจาก ซาโตชิ นาคาโมโตะ โดยนายฟินนีย์ชี้ว่า “เป็นการทดสอบความคิด” หากจินตนาการว่าบิทคอยน์กลายเป็นระบบชำระเงินหลักของโลก “มูลค่ารวมของสกุลเงินนี้น่าจะเท่ากับมูลค่ารวมของทรัพย์สินบนโลกทั้งหมด ตัวเลขคาดการณ์ของทรัพย์สินครัวเรือน ณ ปัจจุบันรอบโลกที่ผมพบเจอคาดว่าอยู่ที่ประมาณ $100 ถึง $300 ล้านล้านดอลลาร์ หากมีเหรียญทั้งหมด 20 ล้านเหรียญ มูลค่าของเหรียญแต่ละเหรียญจะอยู่ที่ประมาณ $10 ล้าน” เขียนโดยนายฟินนีย์ ส่วนนายแบ็คย้ำว่าเนื่องด้วยระดับเงินเฟ้อของดอลลาร์ที่สูงขึ้น “เหตุการณ์นี้อยู่ใกล้กว่าที่คิด” แต่กูรูเงินคริปโตก็ไม่ได้ระบุว่าใกล้เพียงใด

 

โรมัน บุทโก, NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้


« การวิเคราห์ตลาดและข่าว
รับการฝึก
มือใหม่ในตลาดใช่ไหม?ใช้ส่วน เริ่มฝึกฝน เริ่มฝึกฝน
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)