กุมภาพันธ์ 22, 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD  ดัชนีดอลลาร์ปรับขึ้นแล้ว 2.5% ตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ ขยับขึ้นถึงจุดสูงสุดตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2017 ค่าเงินยูโรอ่อนลงอย่างต่อเนื่อง โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ดอลลาร์ที่แข็งทำให้สกุลเงินยูโรอ่อนแอไป 440 จุด เสียมูลค่าไป 300 จุด หรือ 2.7% ในช่วงสามสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเป็นแนวโน้มขาลงที่ต่อเนื่อง
    ผู้เชี่ยวชาญพยายามบ่งชี้สาเหตุของสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ บ่อยครั้งที่พุ่งเป้าไปที่ความกังวลเกี่ยวกับไวรัสโคโรนา แต่แม้ในที่นี้ เมื่อพูดถึงสิ่งเดียวกัน พวกเขาก็สามารถให้ข้อสรุปในทางตรงกันข้าม บางกลุ่มมองว่าเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ในทางกลับกันผู้เชี่ยวชาญอีกกลุ่มหนึ่งถือว่าเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ที่ค่อนข้างเสี่ยงและจะนำมาสู่การขาดทุนให้กับนักลงทุนทันทีที่จุดสูงสุดของภาวะแพร่ระบาดได้ผ่านไปและเศรษฐกิจของจีนเริ่มฟื้นตัว มีแนวโน้มค่อนข้างเป็นไปได้ว่าจุดสูงสุดนี้จะเริ่มขึ้นในอนาคตอันใกล้ เนื่องจากรัฐบาลจีนเริ่มใช้มาตรการไม่เพียงแต่จะต่อสู้กับโรคระบาดนี้ แต่ยังพยายามกระตุ้นการผลิตและผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน หนึ่งในมาตรการดังกล่าวคือการปรับลดอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารแห่งชาติจีนโดยปรับจาก 4.15% เหลือ 4.05% เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์
    เราทำได้แต่เพียงเห็นด้วยกับผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อว่าปัจจัยกระตุ้นแนวโน้มขาลงของคู่ EUR/USD คือความอ่อนแอของเศรษฐกิจยุโรปในอันดับแรกและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้เงินดอลลาร์น่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนมากขึ้น นอกจากนี้ สงครามการค้าที่ยุติลงระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังเป็นผลลบต่อเงินยูโร
    นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (60%) ได้โหวตให้กับแนวโน้มขาลงต่อไปในของเงินยูโรในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งสนับสนุนโดยดัชนีเทรนด์และออสซิลเลเตอร์ 65% ในขณะเดียวกัน 35% ที่เหลือได้ให้สัญญาณแล้วว่าเงินยูโรอยู่ในโซน oversold หากคุณดูอัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD จะเห็นว่าสะท้อนสัดส่วนดังกล่าวได้อย่างชัดเจน ในขณะแรกราคาได้ขยับลง หลังจากนั้นในช่วงกลางสัปดาห์ ราคาขยับเข้าสู่เทรนด์ด้านข้าง เปลี่ยนระดับ 1.0800 เป็นแนวรับหรือแนวต้าน ส่วนความไม่สอดคล้องในการผลการวิเคราะห์ออสซิลเลเตอร์หลายตัวเช่น MACD ให้ความหวังกับผู้ที่ถือตำแหน่งซื้อว่าจะมีการกลับตัวของเทรนด์ อย่างไรก็ตามสิ่งนี้ไม่ได้เกิดขึ้น และแนวโน้มขาลงแค่หยุดตัวลงเท่านั้น และเฉพาะในช่วงปลายสัปดาห์ห้าวันทำการ ราคาได้กระโดดขึ้นอย่างรวดเร็วและปิดตลาดที่ 1.0848 ส่งผลให้ผลลัพธ์ของสัปดาห์เป็นศูนย์
  • GBP/USD สหราชอาณาจักรส่งผลต่อความอ่อนแอของเศรษฐกิจอียูเช่นกัน หลังจากเบร็กซิต งบประมาณอียูขาดดุลที่ €75 พันล้านยูโรและดูจะไม่มีใครทราบว่าจะชดเชยการขาดทุนอย่างหนักดังกล่าวได้อย่างไร ค่าเงินปอนด์อังกฤษแตกต่างจากเงินยูโร ซึ่งถือว่าค่อนข้างมีความเสถียรเทียบกับดอลลาร์ หลังจากช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนปี 2019 ซึ่งราคาได้ขยับตามเส้น 1.3000 ความผันผวนยังคงค่อนข้างสูง (220 จุดในสัปดาห์ที่แล้ว) แต่ราคาได้กลับสู่โซนแนวรับ/แนวต้านหลายครั้ง
    ตลาดหมีพยายามที่จะผลักแนวต้านของเงินปอนด์หลายครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ โดยค่าเงินปอนด์ปรับลงมาต่ำกว่าระดับ 1.3000 ราคาได้ขยับถึงระดับต่ำสุดที่ 1.2850 ในสัปดาห์ที่แล้ว แต่… หลังจากนั้นก็กลับตัวอีกครั้ง เร่งขึ้น และปิดตลาดสัปดาห์ทำการที่ 1.2960
  • USD/JPY เมื่อดูคำทำนายในสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 และ D1 ได้หันมองไปทางทิศเหนือ และพวกเขาก็ทำนายได้ถูกต้อง ราคาไม่เพียงแต่จะตัดทะลุระดับสำคัญที่ 110.00 แต่ยังแตะถึงระดับแนวต้านหลายลำดับด้วยกัน ราคาพุ่งไปที่ระดับ 112.20 ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเดือนเมษายนปี 2019 เหตุผลหลักคือความสนใจในค่าเงินเยนในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยที่ลดลงอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางสถานการณ์ที่พัฒนาขึ้นกับข่าวไวรัสโคโรนา และการที่ตลาดเริ่มหันไปหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า ท่าทีของทางการจีนในการสนับสนุนบริษัทที่ได้รับผลกระทบโดยข่าวแพร่ระบาดก็กระทบต่อเงินเยนเช่นกัน
    หลังจากราคาแตะระดับ 112.00 การปรับตัวของราคาเกิดขึ้น และราคาสุดท้ายของสัปดาห์อยู่ที่ระดับ 111.60
  • คริปโตเคอเรนซี บริษัท Longhash ได้วิเคราะห์รายละเอียดข้อมูลการซื้อและขายบิทคอยน์ในช่วงสองปีที่ผ่านมาและได้บทสรุปที่น่าสนใจ นักวิจัยพบว่าราคาเฉลี่ยที่ต่ำที่สุดของบิทคอยน์อยู่ที่วันศุกร์ ณ เวลา 6 นาฬิกา GMT จริง ๆ แล้ว นี่หมายถึงจังหวะที่ดีที่สุดในการเปิดตำแหน่งซื้อ ในช่วงเวลาเที่ยงคืน (UTC) ของวันจันทร์และวันอังคาร ราคา BTC เฉลี่ยอยู่ที่ $170 สูงกว่าของวันศุกร์ ผลปรากฏว่าในวันจันทร์หรือวันอังคารคือเวลาที่ดีที่สุดในการออกตำแหน่งซื้อของวันศุกร์หรือเข้าตำแหน่งขายจนถึงวันศุกร์ถัดมา (เมื่อราคาต่ำกว่าตามผลสถิติ)
    ในเวลาเดียวกัน นักวิเคราะห์เตือนว่าตลาดเงินคริปโตมีความผันผวนสูงมาก จึงเป็นไปได้ยากที่ผลลัพธ์ของงานวิจัยใด ๆ จะสามารถนำมาใช้เป็นคำแนะนำในการลงทุน
    และนี่คือความเห็นที่ถูกต้องอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากคุณดูผลลัพธ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาบิทคอยน์มีค่าต่ำมากในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ และหากนักเทรดเปิดตำแหน่งซื้อ ณ จุดนี้ เขาหรือเธอจะได้รับผลกำไรดีในช่วงท้ายวัน แต่หากพวกเขาปล่อยให้ธุรกรรมเปิดค้างไว้จนถึงวันจันทร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พวกเขาจะสูญเสียเงินจำนวนมาก เนื่องจากราคาบิทคอยน์ลดลงประมาณ $600 ในช่วงเวลาดังกล่าว
    เงินคริปโตสกุลหลักอย่างบิทคอยน์มีความพยายามหลายครั้งที่จะตั้งหลักเหนือระดับ $10,000 ตลอดช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมาแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ ราคาต่ำสุดในพื้นที่ของ BTC/USD อยู่ที่ $9.290 และหนึ่งในบรรดาสาเหตุของเทรนด์ขาลง โดยหลักแล้วคือแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นต่อบิทคอยน์จากรัฐบาลสหรัฐฯ รวมถึงประธานาธิบดีทรัมป์ นายพาวเวลล์ ประธานเฟดฯ และนายมนูชิน รัฐมนตรีการคลัง
    ชัดเจนว่าเมื่ออยู่ในแนวโน้มขาลง บิทคอยน์ดึงอัลท์คอยน์สกุลหลักขึ้นไป ได้แก่ Ethereum (ETH/USD), Litecoin (LTC/USD) และ Ripple (XRP/USD)  และดัชนี Crypto Fear & Greed Index ปรับลดลงจากสภาวะ “โลภ” มาเป็นสถานะ “กลัว”

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ตลาดโลกเต็มปริ่มไปด้วยสภาพคล่อง รวมถึงสกุลเงินหลักต่าง ๆ ดูเหมือนว่าธนาคารกลางไม่รู้ว่าจะหาวิธีสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างไรนอกจากกระตุ้นเงินด้วยพันธบัตรราคาถูก ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ใช้จ่ายเงิน $60 พันล้านต่อเดือนเพื่อซื้อพันธบัตร ธนาคารกลางยุโรปซื้อตราสารหนี้กว่า 20 พันล้านยูโร และธนาคารญี่ปุ่นกว่า 80 ล้านล้านเยน ธนาคารกลางในประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ทิ้งห่างเช่นกัน และในขณะนี้ เมื่อเงินนี้ปรากฏในตลาด เราสามารถสังเกตได้ถึงความผันผวนในราคาในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง
    ค่าเงินดอลลาร์ในวันนี้เป็นจุดตัดกันระหว่างสินทรัพย์ปลอดภัยแบบคลาสสิกและสินทรัพย์ความเสี่ยง อันเนื่องมาจากปัจจัยทางการเมือง สถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และมาตรการของธนาคารเฟดที่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นยังมีโอกาสปรับลดอยู่ ซึ่งแตกต่างจาก “คู่ค้า” อย่างธนาคารยุโรปและญี่ปุ่น
    ทั้งหมดนี้ส่งผลให้นักวิเคราะห์ 70% หันมาคาดหวังว่าแนวโน้มขาขึ้นที่เติบโตของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ การปรับลดลงมาอย่างน้อยที่โซน 1.0750 ทั้งนี้ควรคำนึงว่าผลสำรวจนี้รวบรวมก่อนการเกิดแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นเมื่อวันศุกร์ก่อนตลาดปิด และอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญก็คือ เมื่อปรับการทำนายเป็นในรอบเดือนมีนาคม จำนวนผู้เชี่ยวชาญเดียวกันที่ 70% คาดการณ์ว่าราคาจะกลับมาสู่ระดับ 1.1000
    สำหรับดัชนีต่าง ๆ หากดัชนีส่วนใหญ่มีสัญญาณเป็นสีแดงในช่วงเช้าของวันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ สถานการณ์นี้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงในช่วงเย็นและ 70% ของดัชนีให้สัญญาณเป็นสีเขียวในกรอบ H4 แต่ในกรอบ D1 ฝ่ายที่เป็นต่อยังคงเป็นฝ่ายหมีอยู่ โดย 75% ของดัชนีเทรนด์และออสซิลเลเตอร์ยังคงชี้ไปในทิศใต้ โดยมีแนวรับที่ใกล้ที่สุดที่ 1.0800 และ 1.0775
  • GBP/USD จุดวกกลับของช่วงสามเดือนที่ผ่านมาถือว่าเป็นที่ระดับ 1.300 แต่เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม 2020 ตลาดหมีเริ่มความคึกคักมากขึ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมผู้เชี่ยวชาญ 55% จึงคาดการณ์ว่าราคาจะกลับมาทดสอบระดับต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้วอีกครั้งที่ 1.2850 และหากทำได้สำเร็จ ราคาจะตกลงมาอีก 80-100 จุด ผู้เชี่ยวชาญอีก 45% ที่เหลือคาดการณ์ว่าเงินปอนด์จะแข็งค่าขึ้นและราคาจะขยับขึ้นไปที่โซน 1.3000-1.3070  โดยมีเป้าหมายถัดไปที่ 1.3120
    ผลวิเคราะห์ในหมู่ดัชนีบนกรอบ D1 ในช่วงปลายสัปดาห์นั้นไม่พ้องกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในกรอบ H4 ดัชนีเทรนด์ 60% และออสซิลเลเตอร์ชี้ว่าราคาจะขยับขึ้น
    ทางเลือกที่ประนีประนอมนั้นเป็นของการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ซึ่งให้ข้อสรุปว่าราคาจะปรับลงในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์มาที่ระดับ 1.2685 และจากนั้นจะวกกลับในช่วงสัปดาห์แรกของเดือนมีนาคม ในตอนแรกมาที่ 1.3000 และจากนั้นไปที่ระดับ 1.3200

บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 24 - 28 กุมภาพันธ์ 20201

  • USD/JPY เป็นที่ชัดเจนว่าดัชนีส่วนใหญ่หันไปยังทิศเหนือ อย่างไรก็ตาม ออสซิลเลเตอร์ประมาณ 15% ส่งสัญญาณแล้วว่าราคาอยู่ในภาวะ overbought การวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 แสดงว่าราคาจะอยู่ในช่วง  111.25-112.00 อยู่สักระยะในช่วงต้นสัปดาห์ หลังจากนั้นราคาจะขยับขึ้นไปที่โซน 112.40-112.70
    สำหรับในกลุ่มผู้เชี่ยวชาญ 75% เชื่อว่าราคาจะกลับมาที่โซน 109.65-110.25 อย่างแน่นอน แม้ว่าอาจจะใช้เวลาสองถึงสามสัปดาห์ นักวิเคราะห์ 25% ที่เหลือคาดว่าราคาจะขยับขึ้นเหนือระดับ 112.40 โดยมีเป้าหมายที่ 113.70
  • คริปโตเคอเรนซี นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้งและซีอีโอของ Galaxy Digital เชื่อว่าบิทคอยน์จะปักหลักอย่างมั่นคงที่ระดับสูงสุดในอดีตที่ $20,000 ภายในสิ้นปี 2020 ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่าบิทคอยน์อยู่ในภาวะไม่เสถียรในขณะนี้ แต่จะสามารถตัดทะลุทำราคาสูงสุดที่ $20,000 ได้ในที่สุดภายในสิ้นปี หรืออย่างน้อยก็ขยับถึงระดับดังกล่าว ทั้งหมดนี้อาจเกิดขึ้นเร็วกว่าในเวลาเพียงไม่กี่เดือนจากการฮาล์ฟเหรียญ การปรากฏตัวของตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล และการใช้สินทรัพย์โดยนักลงทุนเชิงสถาบันหัวเก่าที่จะกลายเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อการเติบโตของเงินบิทคอยน์ นอกจากนี้ การออกพันธบัตรทั่วไปอย่างต่อเนื่องนั้นก็เป็นผลดีต่อเงินบิทคอยน์เช่นกัน “สินทรัพย์ดิจิทัลหลัก เช่นเดียวกับทองคำ ทำหน้าที่เป็นสินทรัพย์ลงทุนที่ปกป้องนักลงทุนจากเงินเฟ้อและนโยบายทางการเงินของรัฐ จะนำไปสู่ภาวะเงินที่อ่อนค่าลง” อธิบายโดยนายโนโวกราตซ์
    อนาคตที่ดูสดใสยิ่งกว่าสำหรับบิทคอยน์นั้นทำนายโดยผู้สนับสนุนบิทคอยน์และพิธีกรรายการทีวีชื่อดังอย่าง นายแม็กซ์ ไคเซอร์ เขาทำนายว่าราคาบิทคอยน์จะพุ่งไปที่ $400,000 ต่อเหรียญ โดยเพิ่มขึ้นสี่เท่าในคราวเดียว นายไคเเซอร์กล่าวในข่าว Infowars ว่าในคำทำนายครั้งที่แล้วของเขาเมื่อปี 2012 ราคาที่ $100,000 ในขณะนี้นั้นล้าสมัยไปแล้ว
    โดยทั่วไปผู้เชี่ยวชาญ 70% ยังคงทัศนคติที่ดี โดยคาดการณ์ว่าจะได้เห็นบิทคอยน์ในโซน $10,500-11,000 ภายในสองสามสัปดาห์ข้างหน้า ผู้เชี่ยวชาญ 30% ที่เหลือเรียกระดับ $8,000 เป็นระดับขั้นต่ำของแนวโน้มขาลงของคู่ BTC/USD

 

โรมัน บุทโก, NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้


« การวิเคราห์ตลาดและข่าว
รับการฝึก
มือใหม่ในตลาดใช่ไหม?ใช้ส่วน เริ่มฝึกฝน เริ่มฝึกฝน
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)