มกราคม 30, 2021

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD สงครามการค้าที่เคยประกาศโดยประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐฯ ดูเหมือนว่าจะคลี่คลายลง แต่ตอนนี้เราอาจต้อง “แสดงความยินดี” กับทุกคนในโอกาสการเริ่มต้นของสงคราม “ค่าเงิน” ใหม่ และก็ถือว่าเป็นสงครามที่น่าตื่นเต้นและคาดการณ์ไม่ได้พอ ๆ กันกับสงครามการค้าเช่นกัน ในครั้งนี้ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปได้ออกมาประกาศความเป็นศัตรู และศัตรูนี้เองคุณก็คงจะพอได้ว่าเป็น ธนาคารเฟดของสหรัฐฯ นั่นเอง
    เราได้เขียนไปแล้วหลายครั้งว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินยูโรนั้นมาจากการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์มากกว่า 1,700 จุดนับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2020 จนถึง 15 มกราคม 2021 ในขณะนี้ ผู้บริหารธนาคารกลางยุโรปทำเสมือนว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่อัตราแลกเปลี่ยน EUR/USD ณ ปัจจุบัน แต่เป็นอัตราความเร็วของการแข็งค่าขึ้น แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าอัตราแลกเปลี่ยน ณ ปัจจุบัน มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจยุโรปเช่นกัน และจะเป็นเรื่องดีถ้าหากอัตราแลกเปลี่ยนปรับลดลง
    ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติฟินแลนด์และเนเธอแลนด์เริ่มพูดถึงความกังวลของธนาคารกลางยุโรปเกี่ยวกับอัตราแลกเปลี่ยนของเงินยูโร และอาจใช้มาตรการที่จริงจังเพื่อกระตุ้นระดับเงินเฟ้อ โดยให้สัญญาณว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงต่อไป และทางด้าน นางเจเน็ต เยลเลน จะไม่ชอบท่าทีนี้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้ อดีตประธานธนาคารเฟดคนนี้ซึ่งปัจจุบันเพิ่งเข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ นางเจเน็ต เยลเลน เคยให้สัญญาไว้ว่าจะทำทุกวิถีทางเพื่อจะหยุดยั้งไม่ให้ประเทศอื่น ๆ ปรับลดค่าเงินของพวกเขา
    ดังนั้น เราพอสันนิษฐานได้ว่ามีความท้าทายเกิดขึ้นและเป็นที่ยอมรับ ศึกครั้งนี้เริ่มขึ้นแล้ว และตั้งแต่เริ่มต้นทางอียูกลับต้องผิดหวัง… โดยเฉพาะจากผู้สนับสนุนคนหลักซึ่งก็คือเยอรมนี ผลปรากฏว่าระดับเงินเฟ้อของเยอรมนีในเดือนมกราคมพุ่งขึ้นจาก -0.7% เป็น +1.6% ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลต่อการเติบโตของดัชนีโดยรวมในยูโรโซน ไม่ว่านี่จะส่งผลให้มีการจำกัดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณของธนาคารกลางยุโรปหรือไม่นั้นเป็นคำถามที่ยังไม่มีใครตอบได้ ตลาดอยู่ในจุดสี่แยกถนน ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากอัตราแลกเปลี่ยนของ EUR/USD ราคาได้ขยับในช่วงที่ค่อนข้างแคบ ในกรอบ 1.2055-1.2185 ตลอดสองสัปดาห์ครึ่งที่ผ่านมา และแม้ว่าดัชนีหุ้นสหรัฐฯ จะปรับลดลงเมื่อช่วงวันที่ 27-29 มกราคม แต่ก็ไม่สามารถผลักราคาออกจากกรอบดังกล่าวได้ ราคาจึงปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.2135
  • GBP/USD เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) ปฏิเสธที่จะเห็นด้วยกับแนวโน้มกระทิงของการวิเคราะห์ทางเทคนิค เหตุผลหลักก็คือผลงานที่ดูย่ำแย่ของเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร และแถลงการณ์ของนายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษที่ออกมาเตือนว่าจะมีการใช้คำสั่งล็อกดาวน์รอบที่สามจนถึงฤดูร้อน สิ่งนี้บังคับให้นักลงทุนไม่เพียงแค่ปรับทบทวนการคาดการณ์ในเงินปอนด์ของตนเอง แต่ยังเป็นการเริ่มกลับมาคิดถึงสถานการณ์ที่ธนาคารแห่งชาติอังกฤษอาจปรับใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ
    เมื่อดูที่กราฟของคู่นี้ เราอธิบายได้ว่าแรงฝั่งตลาดกระทิงเริ่มอ่อนล้าลงในขณะนี้ แม้แต่สถิติที่เป็นบวกล่าสุดจากตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักรซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 26 มกราคม ก็ไม่ช่วยหนุนเงินปอนด์ ราคาไม่สามารถตัดทะลุแนวต้านที่ 1.3750 เป็นเวลาสองสัปดาห์ติดต่อกัน ความผันผวนลดลง โดยเมื่อช่วงปลายเดือนธันวาคมมีความผันผวนในตลาดกว่า 400 จุดในรอบสัปดาห์ ในเวลานี้เหลือเพียง 150 จุดเท่านั้น สำหรับช่วงปลายสัปดาห์ห้าวันทำการ ราคาปิดตลาดที่โซนแนวต้านสำคัญอีกหนึ่งระดับคือ 1.3700
  • USD/JPY เทรนด์ระยะกลางสำหรับคู่นี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคมปี 2020 เมื่อราคาค่อย ๆ ขยับเข้ากรอบขาลงอย่างราบเรียบ โดยมีการพูดคุยมากมายในหมู่ผู้เชี่ยวชาญว่า ราคาคู่นี้จะสามารถพลิกกลับเทรนด์ดังกล่าวและตัดผ่านกรอบด้านบนของช่องได้หรือไม่ มีนักวิเคราะห์เพียง 30% เท่านั้นที่โหวตให้กับสถานการณ์นี้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่พวกเขาเป็นกลุ่มที่ทำนายได้อย่างถูกต้อง ในครั้งที่แล้วมีการตั้งเป้าโซน 104.70-105.00 ให้เป็นเป้าหมายของฝั่งกระทิง ซึ่งราคา USD/JPY ได้ขยับถึงระดับดังกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งนี้ แตกต่างจากเงินปอนด์และยูโร ราคาคู่นี้ตอบสนองต่อรายงานที่เป็นบวกของตลาดแรงงานและดุลการค้าของสหรัฐฯ แต่แรงกระตุ้นที่สำคัญมาจากการกระจายตัวของเงินที่ไหลออกมาจากตลาดขาลงของดัชนีหุ้นอเมริกัน ได้แก่ S&P500, Dow Jones และ Nasdaq ดังนั้น ราคาจึงทำระดับสูงสุดในรอบ 10 สัปดาห์ที่ 104.95 และปิดตลาดรอบห้าวันทำการต่ำกว่าเดิมเล็กน้อยที่ 104.70
  • คริปโตเคอเรนซี ในครั้งที่แล้วเราแค่พูดเล่น ๆ แต่ดูเหมือนคำทำนายของโหราจารย์จากนิวยอร์กนั้นกำลังจะเป็นเรื่องจริง ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้พูดถึงหมอดูที่ชื่อว่า มาเรน อัลท์แมน ผู้ทำนายแนวโน้มของราคา BTC/USD โดยอ้างอิงจากการเคลื่อนที่ของดวงดาว เธอทำนายได้อย่างถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับการเริ่มปรับฐานของบิทคอยน์ในเดือนมกราคม เพราะดาวพุธ (ราคาบิทคอยน์) จะถูกตัดผ่านโดยดาวเสาร์ (ตัวอุปสรรค) ในวันนั้น คำทำนายล่าสุดของเธอพูดถึง “สัญญาณที่ดีในช่วงปลายเดือนมกราคม”
    สำหรับสามสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาบิทคอยน์ยึดติดอยู่ตามแนวรับที่โซน $30,000 โดยพยายามจะขยับต่ำลง และสร้างความกังวลให้กับผู้เชี่ยวชาญและนักลงทุนหลายท่าน
    เช่น นายสก็อต มิเนิร์ด ผู้อำนวยการ Guggenheim Partners กล่าวว่า อัตราแลกเปลี่ยนบิทคอยน์จะไม่สามารถยืนเหนือ $35,000 หรือแม้แต่ $30,000 เพราะไม่มีความต้องการของนักลงทุนรายสถาบันในขณะนี้ที่สามารถสนับสนุนราคาที่ระดับเหล่านี้ได้
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายเดือนนี้ชี้ให้เห็นว่า หมอดูอาจจะเป็นผู้ชนะในศึกประลองระหว่างหมอดูและผู้เชี่ยวชาญ ราคาทำระดับต่ำสุดที่ $29,200 เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มกราคม ก่อนที่จะกลับตัวและขยับขึ้นมาที่ $38,100 เมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคม แต่จากนั้นก็มีการกลับทิศทางอย่างรวดเร็วอีกครั้ง แล้วตกลงมาที่ระดับ $33,500 ดังนั้น ผลลัพธ์ของการต่อสู้ในครั้งนี้ยังคงเป็นคำถาม ณ ตอนที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้
    นายสก็อต มิเนิร์ด ทำนายได้ถูกต้องแน่นอนว่า นักลงทุนมืออาชีพรายใหญ่ไม่ใช่แฟนคลับค่าเงินดิจิทัลแต่อย่างไร และสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2020 ถือได้ว่าเป็นการทดลองอย่างหนึ่งของเหล่าสถาบัน ซึ่งพวกเขาต้องคอยจับตามองปฏิกิริยาของหน่วยงานรัฐที่กำกับดูแลตลาด แต่นายสก็อตอาจลืมพิจารณาไปว่า ในกรณีที่ไม่มีสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้อง นักลงทุนรายย่อยก็สามารถดันราคาบิทคอยน์ขึ้นไปเหมือนในปี 2017 ได้เช่นกัน นอกจากนี้ คนกลุ่มนี้ยังเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง และคนรุ่นกลางก็เข้ามามีส่วนร่วมเช่นกัน
    งานวิจัยที่ศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญจากแพล็ตฟอร์ม Wirex ร่วมกันกับบริษัท Stellar Development Foundation ชี้ให้เห็นว่า นักลงทุนในเงินคริปโตส่วนใหญ่ไม่ใช่นักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งหมดอย่างที่เคยเป็นในอดีต แต่เป็นคนอายุเกิน 45 ปี และมีเพียงนักลงทุนอายุระหว่าง 25 - 45 ปี เพียง 22% เท่านั้น
    การซื้อบิทคอยน์กลับมาหลังจากราคาตกลงไปต่ำกว่า $30,000 และภาวะที่ยังไม่เกิดการเทขายเพราะความหวาดวิตกสะท้อนให้เห็นว่า นักลงทุนยังคงเชื่อในแนวโน้มการเติบโตของบิทคอยน์ไปสู่ระดับนิวไฮ มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตตัดผ่านระดับจิตวิทยาอีกครั้งที่ $1 ล้านล้านเหรียญดอลลาร์ในช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมา ขยับจาก $0.933 ล้านล้านเหรียญ เป็น $1.08 ล้านล้านดอลลาร์ ในส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็เริ่มขยับขึ้นควบคู่ไปกับการเติบโตของราคา หากในสัปดาห์ที่แล้ว ดัชนีอยู่ที่บริเวณ 40 จุด ในครั้งนี้ไต่ขึ้นมาเป็น 77 จุดเมื่อวันศุกร์ที่ 29 มกราคม ซึ่งถือว่าใกล้กับโซน overbought แล้ว แต่มูลค่าสูงสุดยังคงอยู่อีกไกล อย่าลืมว่าดัชนีดังกล่าวอยู่ในโซน 95-98 จุดจาก 100 อย่างต่อเนื่องในช่วงราคาทะยานขึ้นเมื่อเดือนธันวาคมจนถึงสัปดาห์แรกของเดือนมกราคมที่ผ่านมา

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD สงครามค่าเงินที่เอ่ยถึงในส่วนแรกของบทรีวิวฉบับนี้ไม่ใช่สงครามที่จะกินเวลาหนึ่งสัปดาห์หรือหนึ่งเดือน แต่อาจกินเวลานานหลายปีติดต่อกัน เศรษฐกิจสหรัฐฯ “หดตัว” 3.5% ในปี 2020 และนี่ไม่ใช่ตัวบ่งชี้ที่ติดลบตัวเดียวนับตั้งแต่ปี 2009 แต่ยังเป็นขาลงครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนคาดการณ์ว่าจะเห็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำและการอัดฉีดเงินสดจำนวนมหาศาลเข้าสู่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ($900 พันล้านเหรียญจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ และอีก $1,900 พันล้านเหรียญจากนายโจ ไบเดน) ประกอบวัคซีนต้าน COVID-19 ที่สำเร็จจะช่วยให้เศรษฐกิจกลับมาเติบโตได้ในปี 2021 อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้จะเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
    ในทางกลับกันกับสหรัฐฯ แรงสนับสนุนสำหรับเศรษฐกิจยูโรโซนน้อยกว่ามาก - เป็นเม็ดเงิน €750 พันล้านยูโร ดังนั้น อัตราการเติบโตใน GDP ยูโรโซนจะต่ำกว่า (+1.5% ตามตัวเลขคาดการณ์) และอัตราการฉีดวัคซีนที่นี่ก็ต่ำกว่าประเทศอื่น ๆ หากเราพิจารณาปัจจัยนี้ควบคู่ไปกับความพยายามของธนาคารกลางยุโรปในการปรับลดค่าเงินยูโร เราอาจพอคาดการณ์ได้ว่า EUR/USD จะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันบางส่วน แต่อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า นางเจเน็ต เยลเลน รัฐมนตรีการคลังสหรัฐฯ จะทำทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งนี้เกิดขึ้น
    หลังจากราคา EUR/USD ขยับอยู่ในกรอบด้านข้างมาตลอดสองสัปดาห์ครึ่งที่ 1.2055-1.2185 อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคแสดงสัญญาณน่าสับสน โดยไม่ให้สัญญาณที่ชัดเจนในทิศทางใด สำหรับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ ส่วนใหญ่ (65%) คาดว่า ในเดือนกุมภาพันธ์ ดอลลาร์จะเริ่มเสียตำแหน่งและราคาจะกลับสู่โซน 1.2200-1.2300 โดยเป้าหมายคือราคาสูงสุดของเดือนมกราคมที่ 1.2350 แนวต้านใกล้ที่สุดคือ 1.2185 และระดับแนวรับใกล้ที่สุด คือ 1.2055 ส่วนเป้าหมายของตลาดหมีอยู่ในโซน 1.1800-1.1900
    ด้านเหตุการณ์สำคัญทางเศรษฐกิจจะมีอะไรให้จับตาดูหลายอย่างในสัปดาห์นี้ ในวันจันทร์ที่ 1 และพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ จะมีการประกาศสถิติกิจกรรมทางธุรกิจและตลาดแรงงานในสหรัฐฯ และวันอังคารที่ 2 กุมภาพันธ์ เราจะได้ทราบตัวเลขเบื้องต้นของ GDP และในวันถัดมาจะเป็นการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคในยูโรโซน ส่วนวันสุดท้าย วันที่ 5 กุมภาพันธ์ ในวันศุกร์แรกของเดือน เราจะได้ทราบจำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่สร้างขึ้นในสหรัฐฯ นอกภาคการเกษตร (NFP) ดัชนีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก -140K เป็น +84K ซึ่งอาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น แต่สิ่งนี้มักคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าแล้วโดยตลาด
  • GBP/USD เราจะจับตาดูการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษในวันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะได้รับคำตอบเกี่ยวกับแผนการเข้าซื้อสินทรัพย์ภายใต้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงประเด็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารอังกฤษจะมีข่าวเซอร์ไพรส์นักลงทุนหรือไม่? จากแหล่งข่าวบทวิเคราะห์ของเราชี้ว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น แต่มีแนวโน้มที่ปริมาณการซื้อพันธบัตรในตลาดเปิดจะคงที่ที่ระดับเดิม คือ £ 895 พันล้านปอนด์ และอัตราดอกเบี้ยคงที่ที่ 0.1% ดังนั้น ตลาดจะรอดูสัญญาณอื่นใดไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมจาก นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษซึ่งจะกล่าวถ้อยแถลงในวันที่ 4 และ 5 กุมภาพันธ์นี้
    สำหรับนักวิเคราะห์ 70% เชื่อว่าคู่ GBP/USD จะสามารถตัดทะลุระดับแนวต้านที่ 1.3750 ได้สำเร็จ และจะปรับตัวขึ้นไปยัง 1.3800 เป็นเวลาสั้น ๆ ส่วนการวิเคราะห์กราฟและออสซิลเลเตอร์ 85% ในกรอบ D1 รวมถึงอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ H4 และ D1 เห็นด้วยกับสิ่งนี้ ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญ 60% รวมถึงการวิเคราะห์กราฟเชื่อว่า หลังจากราคาไปถึงทิศเหนือแล้วจะกลับตัวลงมายังโซน 1.3615-1.3700 โดยมีระดับแนวรับถัดไปที่บริเวณ 1.3500
  • USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 เชื่อว่า การเคลื่อนที่ของราคาไปยังทิศใต้จะดำเนินต่อไป อย่างไรก็ตาม ขณะนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง โดยกรอบด้านบนของช่องระยะกลางขาลงตอนนี้จะกลายเป็นเส้นแนวรับ โดยระดับแนวต้านหลัก คือ 105.00 แนวรับอยู่ที่ 104.00, 103.55 และ  103.00
    นักวิเคราะห์ 30% ที่เหลือคาดการณ์ว่า ราคาจะสามารถขยับขึ้นสูงต่อไปและไปถึงโซน 105.70-106.10 ได้สำเร็จ
    ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% หันไปทางทิศเหนือที่กรอบ H4 และ 85% ในกรอบ D1 ด้านออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 และ 60% บนกรอบ D1 ให้สัญญาณสีเขียว ส่วนที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought

บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 01 - 05 กุมภาพันธ์ 20211

  • คริปโตเคอเรนซี ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า การปรับฐานลงของเดือนมกราคมสิ้นสุดลงแล้วและ BTC/USD ก็พร้อมที่จะทะยานขึ้นไปสู่ระดับ $50,000 ส่วนผู้ที่ต้องการจะเก็บกำไรและแปลงเงินจากสินทรัพย์คริปโตเป็นเงินพันธบัตรก็ได้ทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว และขณะนี้ ฝั่งกระทิงกำลังก่อกำลังขาขึ้นรอบใหม่ อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำของธนาคารกลางซึ่งแทบจะเป็นศูนย์ มาตรการการคลังขนานใหญ่ต่างเป็นแรงกดดันอย่างหนักต่อเงินดอลลาร์ รวมถึงความผันผวนในตลาดหุ้นก็ยิ่งเสริมความน่าดึงดูดของบิทคอยน์ในฐานะสินทรัพย์ประกันความเสี่ยง ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้การทะยานขึ้นของราคาน่าจะไปต่อได้
    มีความเป็นไปได้ว่าปี 2021 จะเป็นปีของการต่อสู้ระหว่างตลาดเงินคริปโตและหน่วยงานกำกับดูแลต่าง ๆ และหากเราไม่พูดถึงความหวังของเหล่าแฟนคลับเงินคริปโต คำถามสำคัญยังคงปรากฏว่า สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถมีจุดยืนที่เข้มแข็งได้อย่างจริงจังหรือไม่
    เช่น ธนาคารแห่งชาติสิงคโปร์ ซึ่งเป็นหนึ่งองค์กรการเงินขนาดใหญ่ที่สุดของเอเชียเรียกบิทคอยน์ว่าเป็น สินทรัพย์ที่มีศักยภาพไม่ใช่แค่จะแข่งขันกับทองคำเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนมันจากตำแหน่งแรกในหลักประกันในการลงทุน ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญของธนาคารเชื่อว่า “เราไม่น่าจะได้เห็นการยอมรับบิทคอยน์อย่างแพร่หลายในเร็ว ๆ นี้ เนื่องจากเหล่าหน่วยงานกำกับดูแลจะไม่อนุญาตให้ผู้ใช้งานสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าจะทำธุรกรรมกับเงินหลายล้านหรือแม้แต่หลายพันล้านดอลลาร์อย่างไร" รัฐบาลเริ่มมีท่าทีที่ชัดเจนมากขึ้นว่า พวกเขาจะไม่ยอมให้มีการโจมตีเครื่องมือในอำนาจของพวกเขา ซึ่งก็คือ ค่าเงินตราประเทศ
    สำหรับเงินคริปโตอันดับสอง Ethereum ตลาดยังคงรอให้มีการเปิดตัวการซื้อขายฟิวเจอร์สของอีธีเรียม ปัจจัยนี้เองที่ทำให้ ETH/USD สามารถยืนคงตัวได้แม้ในช่วงปรับฐานเดือนมกราคม เมื่อบิทคอยน์เริ่มดิ่งลงแนวรับในโซน $30,000
    ทั้งนี้ หนึ่งในปัจจัยที่เคยส่งให้บิทคอยน์ขยับขึ้นเหนือ $20,000 ในช่วงปลายเดือน 2017 คือการเปิดตัวของฟิวเจอร์สโดยตลาด Chicago Mercantile Exchange (CME) และในขณะนี้ ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2021 ตลาดแห่งเดียวกันกำลังรอการอนุมัติจากทางการเพื่อเปิดการซื้อขายฟิวเจอร์ส Ethereum ซึ่งอาจนำไปสู่การขยับขึ้นของราคาเหรียญ
    มาถึงช่วงสรุป อีกหนึ่งเรื่องราวน่าตลกขบขันในแวดวงคริปโตเคอเรนซี ในครั้งที่แล้วเราได้พูดถึงหมอดูชาวอเมริกันที่ทำนายราคาบิทคอยน์จากการสังเกตการเคลื่อนที่ของดาวเคราะห์ ครั้งนี้เรามาพูดถึงชาวอเมริกันอีกคนหนึ่ง นายไซมอน เบิร์น ผู้สร้างฟาร์มขุดเหรียญในท้ายรถสปอร์ต BMW i8 ของเขา ฟาร์มแห่งนี้ได้รับพลังงานมาจากแบตเตอรีรถยนต์ ซึ่งเชื่อมต่อกับตัวแปลงดีซี พลังงานแบตเตอรีของ BMW i8 มีความจุที่ 3500W ในขณะที่เครื่องขุดนั้นใช้พลังงานเพียง 1500W จึงเป็นวิธีที่ดีเยี่ยมของชายคนนี้ในการทำเงินแม้ในขณะเดินทางไปไหนมาไหน

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้


« การวิเคราห์ตลาดและข่าว
รับการฝึก
มือใหม่ในตลาดใช่ไหม?ใช้ส่วน เริ่มฝึกฝน เริ่มฝึกฝน
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)