มีนาคม 19, 2022

EUR/USD: หรือตลาดจะบ้าไปแล้ว?

  • สิ่งที่เกิดขึ้นในตลาดหลังการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ อาจเรียกได้ว่าเป็น “โรงละครแห่งเรื่องเหลวไหล” อย่างที่คาดการณ์ไว้ ธนาคารเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25% เป็น 0.5% เมื่อวันพุธที่ 16 มีนาคม เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2018 และดอลลาร์ก็แข็งค่าขึ้นตามความคาดหมาย แต่ไม่มีใครคาดคิดว่า การแข็งค่าขึ้นดังกล่าวจะกินเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น และแค่เพียง 50 จุด หลังจากนั้น เงินยูโรกลับแข็งค่าขึ้นแทนฝั่งดอลลาร์ ส่งผลให้คู่ EUR/USD ทำระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์ที่ 1.1137 ในวันถัดมา

    ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงกันข้ามกับตรรกะโดยสิ้นเชิง การคาดการณ์ตัวเลข GDP สหรัฐฯ มีการเปลี่ยนแปลงและชี้ให้เห็นว่า ธนาคารเฟดคาดว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจจะชะลอตัวในปี 2022 จาก 4% เหลือ 2.8% เนื่องด้วยสงครามคว่ำบาตรกับรัสเซีย นอกจากนี้ การคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยก็เปลี่ยนแปลงเช่นกัน ก่อนหน้านี้คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะขยับถึง 0.75-1.00% ภายในสิ้นปี ขณะนี้ตัวเลขดังกล่าวปรับขึ้นเป็น 1.75-2.00% ทั้งนี้ เนื่องด้วยมีการประชุมเหลืออีกหกครั้งในปีนี้ ผลปรากฏว่าคณะกรรมการ FOMC (คณะกรรมการตลาดเสรีของสหรัฐฯ) จะต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ในทุกการประชุม

    แต่ยังไม่หมดแค่นี้ การคาดการณ์สำหรับช่วงท้ายปี 2023 ก็ถูกปรับขึ้นจาก 1.50-1.75% เป็น 2.75-3.00% เช่นกัน และดูเหมือนว่าเราจะได้เผชิญกับมาตรการจำกัดทางการเงินยาวไปจนถึงปี 2024 กล่าวคือ นี่ไม่ใช่แค่การปรับตัวเลขคาดการณ์เท่านั้น แต่เป็นการคุมเข้มนโยบายทางการเงินเต็มที่ ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบอันต่อตลาดแรงงานและนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่

    ในสถานการณ์เช่นนี้ ดอลลาร์จะต้องแข็งค่าขึ้นอย่างมั่นคง และดัชนี S&P500, Dow Jones และ Nasdaq จะติดลบหนัก แต่ทุกอย่างกลับเป็นไปในทางตรงกันข้าม ดัชนีดอลลาร์ DXY ปรับลดลงเป็นอย่างมาก และดัชนีหุ้นปิดบวกอย่างรวดเร็ว

    อย่างที่เราเคยกล่าวไว้แล้วว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นไม่มีคำอธิบายที่สมเหตุสมผล บางคนเชื่อว่า สาเหตุนั้นเกิดจากการที่อัตราดอกเบี้ยขึ้นไม่ใช่ที่ 0.5% แต่ขึ้นเพียง 0.25% คำอธิบายอีกเวอร์ชันหนึ่งชี้ว่าเป็นเพราะ ธนาคารเฟดไม่ได้เปิดเผยแผนการที่ชัดเจนในการลดงบดุลของธนานคารฯ และบางคนก็เชื่อว่ามันเป็นปัจจัยความโลภที่ส่งผล นักเก็งกำไรระลึกได้ว่า ดัชนีหุ้นฟื้นตัวอย่างรวดเร็วมากเพียงใดหลังจากภาวะช็อคเมื่อช่วงต้นของการแพร่ระบาดของโรค และตัดสินใจว่าสิ่งที่คล้ายกันน่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ ดังนั้นจึงถึงเวลาที่จะซื้อหุ้นสหรัฐฯ ในขณะที่มันยังมีราคาถือว่าถูกอยู่หลังจากดัชนีปรับลดลงในรอบ 10 สัปดาห์

    ตรรกะเริ่มกลับมายังตลาดในช่วงปลายสัปดาห์ทำการ ดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้นอีกครั้ง และคู่ EUR/USD หันกลับไปยังทิศใต้ โดยปิดตลาดที่ 1.1050 สำหรับในอนาคต ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ 45% สนับสนุนแนวโน้มขาขึ้น 35% สนับสนุนแนวโน้มขาลง และ 20% มีท่าทีเป็นกลาง ในส่วนออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 ให้ภาพที่ผสมกัน โดย 30% ให้สีแดง 30% ให้สัญญาณสีเขียว และ 40% ที่เหลือให้สีเทากลาง ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ให้ฝั่งสีแดงเป็นฝ่ายได้เปรียบ โดยมีอัตราส่วนที่ 65% เทียบกับสีเขียวที่ 35%

    ส่วนเป้าหมายที่ใกล้ที่สุดสำหรับตลาดหมี คือ การตัดทะลุแนวรับที่ 1.1000 จากนั้นคือ 1.0900 หากทำสำเร็จ เราอาจได้เห็นราคากลับมาทดสอบระดับต่ำสุดของวันที่ 7 มีนาคมที่ 1.0805 ซึ่งจะตามมาด้วยระดับต่ำสุดของปี 2020 ที่ 1.0635 และราคาต่ำสุดของปี 2016 ที่ 1.0325 ตามลำดับ เป้าหมายยุทธศาสตร์ที่สำคัญคือระดับขนานที่ 1.0000

    เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของฝั่งกระทิงคือการตัดผ่านโซนแนวต้านที่บริเวณ 1.1100-1.1135 จากนั้นก็จะเป็นโซน 1.1280-1.1390 และราคาสูงสุดของวันที่ 13 มกราคม และ 10 กุมภาพันธ์ที่ 1.1485

    สำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ จะมีการประกาศสถิติเศรษฐกิจมหภาคที่สำคัญ ได้แก่ สถิติกิจกรรมทางธุรกิจในเยอรมนีและยูโรโซนซึ่งจะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม และปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าทุนและสินค้าคงทนในสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในวันเดียวกันเช่นกัน

GBP/USD: ธนาคารแห่งชาติอังกฤษนำเหนือธนาคารเฟดอยู่หนึ่งก้าว

  • ปฏิกิริยาตอบสนองที่ประหลาดของตลาดต่อการประชุมของธนาคารเฟดส่งผลดีต่อเงินปอนด์เช่นกัน สถิติเชิงบวกต่อตลาดแรงงานในอังกฤษก็ช่วยหนุนค่าเงินปอนด์อังกฤษ อัตราการว่างงานจากที่มีการคาดการณ์ที่ 4.0% ตัวเลขจริงปรับลดลงจาก 4.1% เหลือ 3.9% ในเดือนมกราคม และจำนวนการยื่นขอสวัสดิการว่างงานในเดือนกุมภาพันธ์ลดลงจาก 48.1K (31.9K ในเดือนก่อนหน้า) จำนวนค่าจ้างเฉลี่ยเพิ่มขึ้นจก 3.7% เป็น 3.8%  เมื่อพิจารณาการจ่ายเงินโบนัส อัตราการจ่างเงินเพิ่มขึ้น 4.8% ซึ่งดีกว่าการคาดการณ์ที่ 4.6% เช่นกัน ทั้งหมดนี้ช่วยให้เป็นอีกครั้งที่ธนาคารแห่งชาติอังกฤษนำเหนือธนาคารเฟดสหรัฐฯ อยู่หนึ่งก้าว และได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.50% เป็น 0.75% ในที่ประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม

    มีแนวโน้มสูงที่ธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะเดินหน้าคุมเข้มนโยบายทางการเงินและปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมครั้งหน้า ในอีกหนึ่งเดือนครึ่งข้างหน้า การคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อใหม่ก็จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยผลักดันมาตรการดังกล่าวเช่นกัน ทั้งนี้ ต่างจากธนาคารฝั่งสหรัฐฯ และยุโรป ธนาคารแห่งชาติอังกฤษคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะขยับถึง 7.25% ในเดือนเมษายน และจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองปีที่จะกดอัตราดอกเบี้ยลงมายังระดับเป้าหมายที่ 2.0% ในสถานการณ์เช่นนี้

    ผลการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษในช่วงต้นก่อให้เกิดการตอบสนองที่ขัดแย้งกันในหมู่นักลงทุนเช่นเดียวกับในกรณีของธนาคารเฟดสหรัฐฯ คู่ GBP/USD แทนที่จะขยับขึ้น กลับขยับลดลงมาจาก 1.3210 ลงมาที่ 1.3087 ตามความคาดหวังว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างแข็งขัน อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับในกรณียูโร ตลาดเปลี่ยนใจในภายหลัง และราคาคู่นี้ปิดตลาดรอบห้าวันที่ 1.3175

    การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญสำหรับคู่ GBP/USD ในสัปดาห์หน้านี้มีดังนี้: 50% โหวตให้กับการเคลื่อนที่ไปยังทิศเหนือ 40% ทิศใต้ และ 10% ที่เหลือโหวตแนวโน้มด้านข้าง ในหมู่ออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 70% หันไปยังทิศใต้ และ 30% มีท่าทีเป็นกลาง ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ 65% เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมี ส่วน 35% เห็นด้วยกับฝั่งกระทิง

    ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดตั้งอยู่ในโซน 1.3080-1.3100 จากนั้นก็มายังระดับต่ำสุดของสัปดาห์ที่แล้ว (และในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2021-2022) - 1.3000 ตามมาด้วยแนวรับปี 2020 ด้านแนวต้านอยู่ที่ระดับ 1.3185-1.321 จากนั้นคือ 1.3270-1.3325, 1.3400, 1.3485, 1.3600, 1.3640

    สำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราอาจให้ความสนใจกับสถิติจากตลาดผู้บริโภคสหราชอาณาจักร ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 23 มีนาคม โดยจะมีการประกาศดัชนี PMI ภาคบริการของประเทศ (Markit) ในวันถัดไปคือวันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม ซึ่งคาดว่าจะขยับขึ้นจาก 60.5 เป็น 60.7 ในรอบหนึ่งเดือน

USD/JPY: เงินเยนอ่อนค่าสุดในรอบหกปี

บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 21 - 25 มีนาคม 20221

  • หัวข้อของบทรีวิวคู่ USD/JPY ในครั้งก่อนหน้าคือ “ตลาดเลือกดอลลาร์” สถานการณ์ในสัปดาห์ที่แล้วยิ่งยืนยันข้อสรุปนี้ แม้ว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าเทียบกับยูโรและเงินปอนด์ ดอลลาร์กลับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเทียบกับเงินเยน ราคาสูงสุดของสัปดาห์ที่แล้วอยู่ที่ 119.40 ในขณะที่ราคาปิดต่ำลงมาเล็กน้อยที่ 119.15 ครั้งที่แล้วที่ราคาคู่ USD/JPY ซื้อขายในระดับสูงขนาดนั้นนั้นเกิดนานมาแล้วคือเมื่อช่วงข้ามปีระหว่างปี 2016/2017

    สาเหตุก็คือธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นนั้นไม่ต้องการปรับนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายแบบสุดโต่งของธนาคารเอง ท่าทีของธนาคารกลางญี่ปุ่นแตกต่างจากท่าทีของธนาคารเฟด ธนาคารอังกฤษ และธนาคารยุโรปเป็นอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีหลายสาเหตุให้ต้องเป็นเช่นนี้เช่นกัน อัตราเงินเฟ้อในญี่ปุ่นอยู่ที่เพียง 0.9% เท่านั้นในเดือนกุมภาพันธ์เทียบกับ 0.5% ในเดือนมกราคม แม้ว่าตัวเลขดังกล่าวจะถือว่าสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 2019 แต่ก็ถือว่าไม่มีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับอัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรหรือในสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ 7.9% และเป็นระดับสูงสุดในรอบ 39 ปี

    และแม้ว่าหลังผลการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นได้ประกาศว่า ธนาคารฯ คาดว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเนื่องด้วยราคาเชื้อเพลิงและสินค้าโภคภัณฑ์ที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับติดลบคือ -0.1% และผลตอบแทนตามเป้าของพันธบัตรรัฐบาลชุดสิบปีนั้นเกือบเป็นศูนย์

    สำหรับการคาดการณ์มีนักวิเคราะห์ 70% เชื่อว่า ถึงเวลาที่ราคาคู่นี้จะกลับตัวลง 20% มีความเห็นในทางตรงกันข้าม และ 10% ไม่มีความเห็นใด ๆ ในส่วนอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ให้ภาพที่ขัดแย้งกันเกือบโดยสิ้นเชิงหลังจากราคาตัดทะลุขึ้นทิศเหนืออย่างรุนแรง อินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์ 100% ชี้ไปทางทิศเหนือ แต่ออสซิลเลเตอร์ 35% ให้สัญญาณแล้วว่าราคาอยู่ในโซน overbought

    ราคาคู่นี้ตัดทะลุระดับแนวต้านทั้งหมดที่ระบุไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วอย่างง่ายดาย และมีแนวโน้มสูงที่เราจะให้ความสำคัญที่ตัวเลขชุดถัดไปโดยมีระยะห่างบวกหรือลบได้ 15-20 จุด โซนที่ใกล้ที่สุดคือ 119.80-120.20 ด้านแนวรับอยู่บริเวณระดับและในโซน 119.00, 118.00-118.35, 117.70, 116.75, 115.80-116.15

    สำหรับสถิติเศรษฐกิจมหภาคประจำสัปดาห์นั้นเป็นสถิติเงินเฟ้อในโตเกียว ซึ่งจะประกาศผลในวันศุกร์ที่ 25 มีนาคม ซึ่งมีความน่าสนใจ การคาดการณ์ชี้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคในโตเกียวอาจลดลงจาก 0.5% เหลือ 0.4% รายงานการประชุมครั้งล่าสุดของคณะกรรมการนโยบายทางการเงินของธนาคารฯ จะประกาศหนึ่งวันก่อนหน้า อย่างไรก็ดี การตัดสินใจหลักทั้งหมดนี้เป็นที่ทราบกันเรียบร้อยแล้ว เราจึงไม่คาดว่าจะมีข่าวอันน่าประหลาดใจใด ๆ จากเอกสารฉบับนี้

คริปโตเคอเรนซี: ทางรอดของบิทคอยน์ผู้ถือเหรียญรายย่อย

  • ด้านถ้อยแถลงของ นายเจอโรม พาวเวลล์ ในช่วงท้ายการประชุมของธนาคารเฟดได้ทำให้นักลงทุนหันกลับมาให้ความสนใจกับตลาดหุ้น และกลายเป็นปัจจัยให้ดัชนี S&P500 ปิดบวกดีที่สุดสองวันติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนเมษายน 2020 ทั้งดัชนี Dow Jones และ Nasdaq ขยับขึ้น ซึ่งไม่ได้แปลว่า ความต้องการสินทรัพย์ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั้นช่วยหนุนเงินคริปโตมาก แต่อย่างน้อยก็ช่วยพยุงไม่ให้คริปโตเคอเรนซีตกลงต่ำกว่าเดิม ฝั่งกระทิงของ BTC/USD พยายามยืนเหนือระดับราคาที่ $40,000 อีกครั้ง ในขณะที่ฝั่ง ETH/USD พยายามกดราคาให้เข้าใกล้ระดับ $3,000

    บิทคอยน์ขณะนี้ซื้อขายอยู่ในโซน $41,650 ณ ขณะที่เขียนบทรีวิวฉบับนี้ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 18 มีนาคม มูลค่ารวมในตลาดเพิ่มขึ้นจาก $1.740 ล้านล้านเป็น $1.880 ล้านล้านดอลลาร์ในตลอดสัปดาห์ และดัชนี Crypto Fear & Greed Index คงที่ในโซน Extreme Fear เดิม โดยขยับขึ้นเพียงเล็กน้อยจาก 22 เป็น 25 จุด

    บางที การเติบโตของดัชนีหุ้นสหรัฐฯ อาจถือว่าเป็นข่าวดีสำหรับตลาดดิจิทัลเช่นกัน ข่าวดีอีกชิ้นหนึ่งมาจากอีฝั่งหนึ่งของมหาสมุทรแอตแลนติก จากยุโรป คณะกรรมการด้านกิจการทางเศรษฐกิจและการเงินของสภายุโรป (ECON) ได้รับรองร่างกฎหมายเพื่อกำกับดูแลคริปโตเคอเรนซี “วันนี้เป็นวันที่ดีสำหรับภาคคริปโต” กล่าวโดยหนึ่งในผู้ที่ร่างกฎหมาย “สภายุโรปได้ปูทางไปสู่นวัตกรรมแห่งการกำกับดูแลคริปโตเคอเรนซี ซึ่งอาจเป็นการกำหนดมาตรฐานให้กับโลก” และยังมีแนวโน้มที่ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่รวมถึงการแก้ไขข้อที่เกี่ยวกับการสั่งห้ามขุดเหรียญบนอัลกอริทึม Proof-of-Work ซึ่งในทางปฏิบัติจะหมายถึงการสั่งแบนบิทคอยน์

    การตัดสินใจของสภายุโรปเกิดขึ้นไม่กี่วันหลังจากประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ลงนามในคำสั่งผู้บริหารในเรื่องเดียวกัน โดยเอกสารฉบับนี้จะกำหนดหน้าที่ให้หน่วยงานระดับรัฐไปศึกษาผลกระทบของคริปโตเคอเรนซีต่อความมั่นคงและเศรษฐกิจแห่งชาติภายในสิ้นปีนี้ รวมถึงกำหนดการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นในข้อกฎหมาย โดยเฉพาะการดำเนินงานร่วมกับกลต. (คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ) และ CFTC (คณะกรรมการการซื้อขายฟิวเจอร์สสินค้าโภคภัณฑ์) อีกทั้งยังให้นิยามบทบาทของหน่วยงานระดับรัฐบาล ตั้งแต่กระทรวงการต่างประเทศไปจนถึงกระทรวงพาณิชย์

    นักวิเคราะห์บางรายระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในยูเครนกระตุ้นให้ทำเนียบขาวและสภายุโรปดำเนินมาตรการเหล่านี้ กล่าวคือ ความกลัวว่าบุคคลหรือองค์กรบางแห่งอาจใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลเพื่อหลบหลีกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย และไม่ต้องสงสัยเลยว่าความพยายามดังกล่าวได้เกิดขึ้นแล้ว

    มีการรายงานว่าในสัปดาห์ที่แล้ว นักลงทุนรายใหญ่จากรัสเซียเก็บเงินคริปโตเคอเรนซีไว้ในตลาดแลกเปลี่ยนที่ตั้งอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ พวกเขาคาดว่า สวิตเซอร์แลนด์ในฐานะประเทศที่วางตัวเป็นกลางจะไม่เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งใด ๆ ดังนั้นสินทรัพย์ดิจิทัลของพวกเขาจึงปลอดภัย อย่างไรก็ดี สวิตเซอร์แลนด์ประกาศออกมาอย่างผิดความคาดหมายว่าจะเข้าร่วมในการคว่ำบาตรกับยุโรปในครั้งนี้ และในขณะนี้ เหล่าผู้มีอิทธิพลชาวรัสเซียพยายามที่จะเก็บสินทรัพย์ของตนเอง เช่น Reuters รายงานว่า บริษัทคริปโตเคอเรนซี (ไม่ระบุชื่อ) ได้รับคำสั่งจากโบรกเกอร์สวิสให้ขายบิทคอยน์ 125,000 เหรียญ คิดเป็นมูลค่าประมาณ $5 พันล้านดอลลาร์ และแปลงเป็นเงินสด

    Elliptic บริษัทด้านการวิเคราะห์กล่าวว่า บริษัทได้จัดส่งข้อมูลบางส่วนให้กับหน่วยงานสหรัฐฯ เกี่ยวกับกระเป๋าเงินดิจิทัลซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่และผู้มีอำนาจชาวรัสเซียที่ถูกคว่ำบาตร รายงานโดย Bloomberg

    เพื่อเป็นการสนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย พนักงานของ Elliptic ได้ตรวจพบผู้ให้บริการสินทรัพย์เสมือนจริงมากกว่า 400 ราย (ส่วนใหญ่คือตลาดแลกเปลี่ยน) ที่สามารถใช้เงินสกุลรูเบิลในการซื้อคริปโตเคอเรนซี (นักวิเคราะห์ชี้ว่า ปริมาณหมุนเวียนบนแพลตฟอร์มเหล่านี้เพิ่มขึ้นสามเท่าในหนึ่งสัปดาห์) นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญของบริษัทยังได้ตรวจพบกระเป๋าเงินคริปโตหลายแสนวอลเล็ตที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบุคคลและนิติบุคคลที่ถูกคว่ำบาตร

    ผู้เชี่ยวชาญบางรายชี้ว่า มีความเป็นไปได้ที่ราคาบิทคอยน์จะกลับสู่แนวโน้มตลาดหมี ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศที่ตึงเครียดและการตรึงนโยบายทางการเงินโดยธนาคารเฟด คริสโตเฟอร์ เยเตส (Christopher Yates) บรรณาธิการจาก AcheronInsights คาดว่าราคา BTC/USD จะลงมายัง $30,000 ด้านนักวิเคราะห์ชื่อดังอย่าง วิลลี วู (Willy Woo) มีความกลัวที่คล้ายกัน การคำนวณของเขาชี้ว่า ต้นทุนสัมพัทธ์ในการวัดนั้นไม่มีการลดลงอย่างจำเป็น เขาจึงมองว่า “ยังมีพื้นที่ให้ราคาดิ่งลงได้อีกครั้ง"

    นอกเหนือจากความต้องการในความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุนแล้ว กิจกรรมของผู้ซื้อรายย่อยที่มีวอลเล็ตสูงสุด 10 BTC ยังช่วยพยุงไม่ให้ราคาตกต่ำลง พวกเขาซื้อเพิ่มโดยหวังว่าราคาอยู่ในระดับต่ำสุด ด้านบริการ SMM ของ CoinMarketCap ได้จัดทำแบบสำรวจในหมู่ผู้ติดตาม ซึ่งมีผู้ใช้งานจำนวน 4 ใน 5 แสดงความเชื่อมั่นว่าราคา BTC จะขยับขึ้นไปเกือบถึง $50,000 ภายในเดือนมีนาคม

    นักวิเคราะห์จาก IntoTheBlock,ชี้ว่า แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะอยู่ห่างจากระดับสูงสุด จำนวนผู้ถือบิทคอยน์เพิ่มขึ้นทำสถิติใหม่ที่ 39.79 ล้านที่อยู่ที่จัดเก็บเหรียญดิจิทัลไว้ในขณะนี้ ซึ่งชี้ให้เห็นว่ามีผู้ถือ BTC รายใหม่ประมาณ 888,000 รายที่เพิ่งเข้าร่วมในเครือข่ายตั้งแต่ต้นปีนี้

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Finbold จำนวนผู้ถือเหรียญในจำนวนที่น้อยกว่า 1 BTC เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2020 ในขณะเดียวกัน วาฬ (ผู้ที่ถือเหรียญตั้งแต่ 1,000-10,000 BTC) ยังไม่ได้เพิ่มจำนวนที่จัดเก็บมากเท่าใดนัก นักวิเคราะห์จึงมองว่า บิทคอยน์ไม่น่าจะเติบโตจริงจังในระยะกลาง

    สตีฟ วอซเนียก (Steve Wozniak) ผู้ร่วมก่อตั้ง Apple เชื่อว่าบิทคอยน์จะมีมูลค่า $100,000 ซึ่ง BTC เป็น “ปาฏิหารย์ทางคณิตศาสตร์ที่น่าทึ่งมากที่สุด” ที่แซงหน้าทองคำเนื่องด้วยปริมาณจำกัดทางดิจิทัล ผู้มีอิทธิพลรายอื่นในโลกคริปโตเชื่อว่า เหรียญนี้สามารถบรรลุความสำเร็จนี้ได้เช่นกัน Joe DiPasquale ซีอีโอของ Bitbull คือหนึ่งในผู้สนับสนุนคริปโตเคอเรนซีรายใหญ่มากที่สุด แม้ว่าราคาบิทคอยน์จะขยับลดลงมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน เขาเชื่อว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังอยู่บนเส้นทางไปยังระดับ $100,000 ที่รอคอยมานานแล้ว.

    ไมค์ โนโวกราตซ์ (Mike Novogratz) ซีอีโอของ Galaxy Digital บอกตัวเลขเดียวกันถึงห้าครั้งที่ Bloomberg TV ซึ่งเป็นอีกครั้งที่เขายืนยันการคาดการณ์ของเขา ซึ่งมองว่าเงินคริปโตรายใหญ่ที่สุดอาจขยับขึ้นถึง $500,000 ในห้าปี และมันจะเป็นการเติบโตที่ราบรื่นและไม่ก้าวร้าว

    เศรษฐีพันล้านได้ทำนายอย่างแม่นยำว่า ตลาดคริปโตจะหยุดชะงักในช่วงต้นปี 2022 แนวโน้มขาขึ้นของบิทคอยน์ในปี 2021 ถูกกระตุ้นโดยความกลัวว่าธนาคารเฟดสหรัฐฯ จะ “พิมพ์ธนบัตรตลอดกาล” เขากล่าว ขณะนี้ ธนาคารเฟดกำลังลดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และบิทคอยน์กำลังอยู่ตรงกลางของแนวโน้มตลาดหมี

    บิลล์ บาร์ไฮดท์ (Bill Barhydt) ซีอีโอธนาคารคริปโต Abra กล่าวว่า แนวโน้มค่าธรรมเนียมที่ลดลงอย่างต่อเนื่องในเครือข่าย Ethereum อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้ราคาสินทรัพย์เติบโตขึ้นไปยังโซน $30,000-40,000 ในวันนี้ เครือข่าย Ethereum เป็นหนึ่งในเครือข่ายที่เป็นที่ใช้งานมากที่สุดในอุตสาหกรรม เพราะมีการใช้งานในแวดวง Non-fungible Tokens (NFT), DeFi (การเงินแบบไร้ศูนย์กลาง) เกมส์ ฯลฯ จำนวนผู้ถือเหรียญ Ethereum จะเพิ่มขึ้นต่อเมื่อมีการเปิดตัว Ethereum 2.0 และกระบวนการ staking เริ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตาม บิล บาร์ไฮดท์ ยังไม่ตัดโอกาสความเป็นไปได้ที่จะขายเงิน ETH จำนวนเล็กน้อยในเดือนมิถุนายนหรือกรกฎาคม เขามองว่า นี่จะเป็นการปรับฐานที่คาดการณ์ได้โดยสมบูรณ์ท่ามกลางการเติบโตของคริปโตเคอเรนซี

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้


« การวิเคราห์ตลาดและข่าว
รับการฝึก
มือใหม่ในตลาดใช่ไหม?ใช้ส่วน เริ่มฝึกฝน เริ่มฝึกฝน
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)