ธันวาคม 12, 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD อย่างที่ได้คาดการณ์ไว้ ธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเดิม คือ 0% เงินยูโรมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ แต่ว่าไม่เป็นผลอันเนื่องมาจากการตัดสินใจของธนาคารกลางฯ ในการออกโครงการเงินอุดหนุนฉุกเฉินในภาวะโรคระบาด (PEPP) เพิ่มเติมอีก €500 พันล้านยูโร ตามมาด้วยการแถลงความเห็นของนางคริสติน ลาการ์ด จริง ๆ แล้วการตัดสินใจครั้งนี้ไม่มีอะไรที่ผิดความคาดหมาย เราได้คาดการณ์ผลลัพธ์ดังกล่าวเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว นอกจากนี้ ปริมาณเงินอุดหนุนดังกล่าวก็อยู่ในช่วงที่คาดการณ์โดยนักวิเคราะห์ในตลาดในช่วง €400-600 พันล้านยูโร แต่การทำนายนี้เองที่ทำให้คู่ EUR/USD ไม่สามารถขยับลดลงไปได้ แนวนโยบายการเงินแบบตึงตัวจากคำแถลงของ คริสติน ลาการ์ด ก็ช่วยหนุนค่าเงินยูโรเช่นกัน ดูเหมือนว่าเธอพยายามที่จะปรับลดอัตราแลกเปลี่ยนเงินยูโรโดยการประกาศว่า ธนาคารฯ กำลังติดตามค่าเงินยูโรอย่างใกล้ชิด อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจของธนาคารฯ ที่ไม่แทรกแซงกิจการในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ส่งผลต่อนักลงทุนมากกว่าคำแถลงที่เรียบง่ายว่ามีการ “ติดตามอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด” และน้ำเสียงที่ดูตึงตัวอย่างไม่คาดคิดของ นางลาการ์ด ว่า หากสถานการณ์ในเศรษฐกิจยูโรโซนดีขึ้น ก็จะไม่จำเป็นต้องใช้เงิน €500 พันล้านยูโรจำนวนนี้ทั้งหมด ส่งผลให้ความพยายามของตลาดหมีที่จะขยับไปยังทิศใต้ยุติลง
    ด้วยเหตุนี้ ราคาจึงปรับลงไปยังระดับ 1.2060 และก็ขึ้นเหนืออีกครั้ง โดยขึ้นมาที่ 1.2165 และปิดตลาดรอบห้าวันทำการในช่วงตรงกลางในโซน 1.2113 ที่ระดับเดียวกันกับที่เริ่มต้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา
  • GBP/USD เงินปอนด์อ่อนค่าลงมากกว่าดอลลาร์ เงินปอนด์อ่อนค่าลงอันเนื่องมาจากภัยเบร็กซิตแบบ “เด็ดขาด” ที่ชัดเจนมากขึ้น คำแถลงล่าสุดของนายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสัน ของอังกฤษ และเออร์ซูลา วอน เดอ เลเยน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรปชี้ให้เห็นว่า ข้อตกลงจริงจังเกี่ยวกับข้อกำหนดในการแยกตัวของสหราชอาณาจักรออกจากอียูจะไม่เกิดขึ้น นายจอห์นสันแนะนำให้ประชาชนของเขาเตรียมพร้อมสำหรับการแยกตัวแบบ “ยากลำบาก” และนางเออร์ซูลาก็กล่าวเช่นเดียวกัน
    ในที่นี้เราควรเน้นที่คำว่า “จริงจัง” เนื่องจากทั้งสองฝ่ายอาจบรรลุข้อตกลงบางส่วน และเราจะไม่เห็นบรรยากาศ “ม่านเหล็ก” ที่กีดกันทางการค้าแต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องมีอุปสรรคดังกล่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลา COVID-19 เช่นนี้ โดยแนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ เอกสารนี้จะถูกเรียกว่าเป็น “ข้อตกลง” ที่อาจมีหลายจุดเว้นว่างอยู่ โดยทั้งสองฝ่ายจะเริ่มเติมช่องว่างดังกล่าวให้เต็มอย่างเร็วที่สุดในปี 2021 แต่สัญญาที่มีน้ำหนักเบาบางดังกล่าวจะไม่ส่งผลดีต่อเงินปอนด์แน่นอน หลักฐานนี้เห็นได้จากสิ่งที่เกิดขึ้นกับคู่ GBP/USD เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
    ตั้งแต่ระดับสูงสุดของวันที่ 4 ธันวาคม ถึงระดับต่ำที่สุดเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม เงินปอนด์อ่อนค่าลงกว่า 400 จุด! และนี่เกิดขึ้นแม้ว่า ราคาจะไม่ได้เดินตามรอย EUR/USD อย่างที่เป็นมาในช่วงล่าสุด และเริ่มมีชีวิตที่เป็นอิสระของตนเอง เมื่อราคาดิ่งลงไปถึงระดับต่ำสุดที่ 1.3135 เมื่อตอนกลางวันของวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม ราคาก็ดีดกลับขึ้นมาประมาณ 90 จุดในตอนเย็น  ก่อนที่จะปิดตลาดที่ 1.3225 แต่การดีดกลับมานี้จริง ๆ แล้วอาจเป็นเพียงการปรับฐานสั้น ๆ ในระหว่างทางลงไปยังทิศใต้ต่อไป
  • USD/JPY อันเนื่องมาจากบรรยากาศความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น นักลงทุนจึงไม่มีความสนใจในสินทรัพย์ปลอดภัยเช่น ดอลลาร์ หรือเงินเยน ทำให้สกุลเงินเหล่านี้อยู่ในช่วงพักรบชั่วคราวและขยับในทิศทางด้านข้าง อย่างไรก็ตาม ราคาไม่เคยขยับออกกรอบระยะกลาง ซึ่งเคลื่อนที่มาอย่างราบรื่นลงทางทิศใต้นับตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และสำหรับคำทำนายเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (70%) สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบน D1 ได้ทำนายว่า การเคลื่อนที่ด้านข้างโดยเทรนด์หลักคือเทรนด์ขาลงนั้นจะดำเนินต่อไป
    โดยทั่วไปแล้ว ทุกอย่างเกิดขึ้นตามคำคาดการณ์ดังกล่าว ราคาได้ขยับออกด้านข้าง และค่อย ๆ ลดตัวลงมาจนช่วงของสัญญาณออสซิลเลเตอรอยู่ที่บริเวณ 103.85-104.55 และก่อตัวเป็นรูปทรง “pennant” ระยะกลาง โดยมีแนวรับหลักใกล้ระดับ 103.65 สำหรับในช่วงท้ายตลาด ราคาปิดตัวลงที่ 104.00 ในครั้งนี้
  • คริปโตเคอเรนซี Wells Fargo หนึ่งในธนาคาร “สี่ยักษ์ใหญ่” ของสหรัฐฯ ได้เผยแพร่รายงานเรื่องการลงทุนฉบับใหม่ ซึ่งมีหน้าแยกต่างหากภายใต้หัวข้อเรื่อง “บิทคอยน์ - สินทรัพย์ที่ทำผลงานได้ดีและผันผวนที่สุดของปี 2020” ซึ่งอุทิศให้กับตลาดเงินคริปโตโดยเฉพาะ ผู้เขียนไม่ได้โน้มน้าวให้ลูกค้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลโดยตรง แต่โดยรวมแล้วมีน้ำเสียงที่ดูน่าสดใสเกี่ยวกับแนวโน้มตลาดนี้ “ตลอด 12 ปีที่ผ่านมา ตลาดนี้เติบโตมาจากศูนย์จนกลายเป็นมูลค่ารวมในตลาดที่ $560 พันล้านดอลลาร์” เขียนโดย Wells Fargo “งานอดิเรกมักจะอยู่ไม่ถึง 12 ปี”
    ธนาคารยังเน้นด้วยว่า ราคาบิทคอยน์ขยับขึ้นมา 170% ในปีนี้ แต่ก็เตือนเรื่องความผันผวนสูง “การลงทุนในเงินคริปโตในปัจจุบันคล้ายกับการใช้ชีวิตในช่วงเริ่มต้นของตลาดทองคำเมื่อปี 1850s ซึ่งเป็นเรื่องของการเก็งกำไรมากกว่าการลงทุน” นักวิเคราะห์ของธนาคารกล่าว แต่ก็เสริมด้วยว่า เงินคริปโตดึงดูดความสนใจมาก แต่ไม่ใช่เงินทุนมากด้วยเสมอไป (ในที่นี่ทำให้เรานึกถึงชื่อผลงานของวิลเลียม เชคสเปียร์ เรื่อง "Much Ado About Nothing")
    การไม่เห็นด้วยกับความเห็นนี้เป็นเรื่องยาก: ในปัจจุบัน มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตยังอยู่ไกลจากระดับสูงสุดเมื่อต้นปี 2018 อยู่มากที่ $830 พันล้านดอลลาร์ และในโลกที่ นายพอล ทูดอร์ โจนส์ เศรษฐีพันล้านกล่าวว่า “มีตลาดหุ้นมูลค่ากว่า $90 ล้านล้านดอลลาร์ และพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเงินพันธบัตรทั้งหมดคิดเป็นเงินจำนวนเท่าไร”
    ตลาดเงินคริปโตหดตัวลงอีก $50 พันล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยเริ่มจาก $575 พันล้านเหรียญก่อนที่จะลงมา $525 พันล้านดอลลาร์ ฝั่งมองโลกในแง่ดีมองว่านี่คือเทรนด์ขาลงที่ชัดเจน ซึ่งเป็นการปรับฐานตามฤดูกสล และมีความเกี่ยวข้องกับช่วงท้ายปี และความต้องการของนักลงทุนในการเก็บกำไรหลังจากราคาปรับตัวสูงขึ้น ทั้งนี้ BTC/USD ไม่สามารถตัดผ่านระดับ $20,000 ได้สำเร็จ และนักวิเคราะห์ประมาณการว่า มีโอกาสที่ราคาจะสามารถยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ภายในสิ้นปีอยู่ที่ 30% ในขณะที่โอกาสที่ราคาจะตกลงมายังโซน $15,000-15,700 ก็อยู่ที่ 30% เช่นกัน
    ในระหว่างนี้ ตลาดหมีปรับเป้าหมายลงมาที่ $17,600 และพวกเขาก็ทำมาแล้วสองครั้งเมื่อวันที่ 9 และ 11 ธันวาคม และสองครั้งดังกล่าวนี้เอง ฝั่งผู้ซื้อก็เข้ามากอบกู้บิทคอยน์ขึ้นมา อย่างไรก็ตาม พวกเขายังไม่สามารถพลิกเทรนด์กลับได้อย่างสุดโต่ง โดยเมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม บิทคอยน์ซื้อขายอยู่ในโซนระดับแนวรับ/แนวต้านสำคัญที่ $18,000
    ทั้งนี้ ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในรอบเจ็ดวัน จาก 92 เหลือ 89 โดยยังให้สัญญาณว่าคู่ BTC/USD มีแรงซื้อมากเกินไปอย่างยิ่ง ซึ่งอาจแปลว่าราคาจะปรับฐานลึกลงกว่าเดิม

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ดอลลาร์อ่อนค่าลง โดยปรับลงมามากกว่า 550 จุดเทียบกับเงินยูโรในช่วงหนึ่งเดือนครึ่งที่ผ่านมา ในที่สุด ราคาได้ขยับเข้าสู่เทรนด์ด้านข้างในช่วง 1.2060-1.2165 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และแม้ว่าออสซิลเลเตอร์ส่วนใหญ่ (75%) และอินดิเคเตอร์ (95%) ยังคงให้สัญญาณสีเขียวบนกรอบ D1 ตลาดยังคงรอการปรับฐานขาลงอยู่
    หากคุณดูสถิติจำนวนโบรกเกอร์ชั้นนำของสหราชอาณาจักร นักเทรด 65% ของโบรกเกอร์กำลังถือตำแหน่งขาย ในขณะที่นักวิเคราะห์ 55% เห็นด้วยกับพวกเขา เช่นเดียวกับการวิเคราะห์กราฟบน H4 และ D1 ซึ่งทำนายว่า ราคาจะปรับลดลงมายังโซน 1.1965-1.2010 ความต้องการในสินทรัพย์ความเสี่ยงที่ลดลงและเบร็กซิตแบบ “เด็ดขาด” อาจเป็นแรงกดดันให้ราคาขยับลงทิศใต้
    อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณาทัศนคติที่สดใสอย่างระมัดระวังของธนาคารกลางยุโรปเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยุโรป สถานการณ์การแพร่ระบาดที่ดีขึ้นในประเทศอียู และภาพรวมเงินดอลลาร์ที่อ่อนแอ ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านเชื่อว่า ราคาจะขยับขึ้นทิศเหนืออีกครั้งหลังการปรับฐาน โดยจะขึ้นไปที่ราคาสูงสุดของไตรมาสที่หนึ่งของปี 2018 ในโซน 1.2400-1.2565 นอกจากความเห็นของนักวิเคราะห์แล้ว ความเป็นไปได้ดังกล่าวยังยืนยันโดยการวิเคราะห์กราฟ ในที่นี้ แนวต้านอยู่ที่บริเวณ 1.2200 และ 1.2300
    สำหรับเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ นักเทรดควรให้ความสนใจกับการประกาศข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจในเยอรมนีและยูโรโซน รวมถึงสถิติตลาดผู้บริโภคในสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 16 ธันวาคม แต่เหตุการณ์ที่น่าสนใจที่สุดจะประกาศในวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม โดยจะมีการประกาศอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเฟด บทสรุปการวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจจากคณะกรรมการตลาดเสรีของธนาคารเฟด และการแถลงข่าวโดยผู้บริหารธนาคารฯ
  • GBP/USD เราจะได้รับทราบสถิติมหภาคหลายตัวจากสหราชอาณาจักรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ โดยจะมีการประกาศสถิติตลาดแรงงานในวันอังคารที่ 15 ธันวาคม ดัชนีราคาผู้บริโภคและกิจกรรมทางธุรกิจในภาคบริการ (Markit) จะประกาศในวันถัดมา และในวันพฤหัสบดีที่ 17 ธันวาคม จะมีการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ โดยธนาคารฯ จะกำหนดการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยและแผนการซื้อสินทรัพย์ อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนไม่มีบทบาทมากนักท่ามกลางภัยเบร็กซิต “แบบเด็ดขาด” โดยเฉพาะสิ่งที่จะเกิดขึ้นที่โต๊ะเจรจาระหว่างสหราชอาณาจักรและอียู อันเป็นตัวตัดสินชะตาของเงินปอนด์
    ในวันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม คาดว่าจะมีการออกแถลงการณ์เกี่ยวกับสถานะขั้นตอนการเจรจาดังกล่าวว่ายุติลงหรือจะเดินหน้าต่อไป ทางเลือกที่อ่อนโยนที่สุด (และน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด) คือการขยายเวลาเงื่อนไขในการเปลี่ยนผ่านในปัจจุบันออกไปอีก 6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อค่อย ๆ เปลี่ยนกติกาอย่างช้า ๆ ไปใช้กติกาพื้นฐานขององค์การการค้าโลก ในกรณีนี้ แม้ว่าเทรนด์ขาลงของคู่ราคาจะดำเนินต่อไป แต่ก็จะมีโอกาสที่จะยับยั้งไม่ให้เกิดภาวะทรุดหนักของเงินปอนด์อังกฤษ ทั้งนี้ ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดในกรณีนี้ คือ 1.3100 และต่อมาที่ 1.3000 และ 1.2850
    ทางเลือกที่สองของเบร็กซิตแบบ “เด็ดขาดมากที่สุด” โดยไม่มีข้อตกลงและการยืดระยะเวลาใด ๆ จะทำให้ราคากลับมาสู่ระดับเมื่อช่วงกลางเดือนพฤษภาคมปี 2020 ที่บริเวณ 1.2075 หรือแม้แต่ระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมที่ 1.1420
    แน่นอนว่า ทางเลือกที่สามที่มีโอกาสเป็นไปได้น้อยที่สุด คือ อียูตัดสินใจล้มเลิกท่าทีของตนโดยกะทันหัน และยินยอมต่อข้อเรียกร้องของอังกฤษ ในกรณีนี้ เราจะเห็นเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นไปในตอนแรกที่ระดับ 1.3500 และจากนั้นอาจขึ้นไปยังระดับสูงสุดของปี 2018 ที่ 1.4350 แต่ทั้งนี้เราขอเน้นย้ำว่า ผลลัพธ์ในข้อนี้น่าจะเป็นแค่นิยายมากกว่า
  • USD/JPY เงินเยนคาดว่า ความต้องการในความเสี่ยงของตลาดจะซบเซาลงในที่สุด และสุดท้ายตลาดจะหันมาหาสินทรัพย์ปลอดภัย แต่นี่คือสิ่งที่ดอลลาร์กำลังเฝ้ารอเช่นกัน โอกาสสำหรับเงินเยนน่าจะเป็นเหตุการณ์เบร็กซิตแบบ “เด็ดขาด” ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนเริ่มหนีจากเงินยูโรและปอนด์ แต่นักลงทุนจะชื่นชอบอะไรมากกว่ากันระหว่างดอลลาร์ เงินเยน นี่คืออีกหนึ่งคำถามที่ต้องตอบ
    ออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% ยังคงให้สัญญาณสีแดง โดยรอให้ราคาขยับลงต่อไปในกรอบระยะกลางขาลง ซึ่งเริ่มขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม โดยมีแนวรับที่ 103.65และ 103.15
    แต่คำคาดการณ์โดยเฉลี่ยของผู้เชี่ยวชาญยังคงแตกต่างไปจากอินดิเคเตอร์: ในที่นี้ 90% สนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟบน D1 เลือกฝั่งดอลลาร์ และชี้ว่าราคาคู่นี้จะขยับขึ้นในตอนแรกไปที่กรอบด้านบนของช่องนี้ที่บริเวณ 104.60 จะตัดทะลุระดับดังกล่าว และขึ้นไปทดสอบ 105.00 แต่ก็เป็นไปได้ที่ก่อนจะขึ้นปีใหม่ ทั้งตลาดหมีและกระทิงจะไม่มีการเคลื่อนที่ที่หวือหวาอะไร และราคาจะยังคงขยับในทางด้านข้างต่อไปที่บริเวณ 104.00

บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 14 - 18 ธันวาคม 20201 

  • คริปโตเคอเรนซี สรุปเป็นการปรับฐานหรือการทรุดตัวเหมือนช่วงปี 2017-2018? นี่ยังเป็นคำถามปลายเปิด
    ผู้เชี่ยวชาญ Bloomberg เชื่อว่า ไม่มีเหตุผลที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในทิศทางการเคลื่อนที่ของบิทคอยน์ในตอนนี้ และราคาอาจขึ้นไปถึง $50,000 ในปี 2021 “ดอลลาร์กำลังสูญเสียตำแหน่งเมื่อเทียบกับสกุลเงินพันธบัตรอื่น ๆ” เขียนโดยสำนักข่าว “ทั้งหมดนี้สังเกตเห็นได้จากนักลงทุนที่ถูกบังคับให้ปรับเปลี่ยนไปยังสินทรัพย์ทางเลือก” บิทคอยน์มีความสนับสนุนมากขึ้นเป็นอย่างมากในตอนนี้ ซึ่งช่วยลดโอกาสที่ราคาจะทรุดลง ความสนใจในตลาดฟิวเจอร์สบิทคอยน์ CME ก็ทำเงินเกิน $1 พันล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ อันชี้ให้เห็นถึงแรงสนับสนุนที่เพิ่มขึ้นจากนักลงทุน
    มุมมองที่คล้ายกันนี้เป็นของ นายพอล ทูดอร์ โจนส์ ประธานบริษัท Tudor Investment Corporation และเศรษฐีพันล้านชาวอเมริกัน ผู้กล่าวว่า “คริปโตเคอเรนซีกำลังเผชิญกับการทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่งบนจรวดโดยมีทั้งบินขึ้นและลงตลอดทาง” “ในอีก 20 ปี บิทคอยน์จะอยู่สูงกว่าในระดับที่อยู่ตอนนี้ จากนี้เป็นต้นไป ถนนจะวิ่งสู่ทิศเหนือ” Yahoo! Finance อ้างคำพูดของเขา
    แต่นายไมค์ โนโวกราตซ์ ซีอีโอของ Galaxy Digital หวังน้อยกว่า ในมุมมองของเขา บิทคอยน์จะไม่กลับลงเป็นศูนย์แน่นอน แต่อาจขยับลงมาใกล้ระดับ $14,000 ดังนั้น แม้ว่าการขาดทุนของนักลงทุนจะไม่ถึง 80-90% แต่อาจจะอยู่ที่ประมาณ 30-40%
    รายงานของบริษัทฟินเทค Cindicator ก็น่าสนใจอย่างยิ่ง อันเนื่องมาจากตัวเลขที่ปรากฏนั้นไม่ใช่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญรายบุคคล แต่เป็นผลลัพธ์โดยเฉลี่ยของผลสำรวจจากผู้ร่วมตลาดมากกว่า 156,000 รายในตลาดเงินคริปโต ซึ่งชี้ว่าในปีหน้านี้ บิทคอยน์จะขยับขึ้นไปที่ $29,569 ผู้ตอบแบบสำรวจที่ให้คำทำนายแม่นยำมากที่สุดอย่าง "superforcasters" ชี้ว่าราคาอาจเติบโตขึ้นไปอีกถึงระดับ $32,056 สำหรับระดับอย่างต่ำ คือที่ $15,000 สำหรับ “Superforcasters” นั้นมีมุมมองที่สดใสน้อยกว่าและคาดการณ์ว่าราคาจะลดลงมาที่ $12,000
    ปัญญาประดิษฐ์แบบไฮบริดของ Cindicator ซึ่งใช้อัลกอริทึมเพื่อศึกษาและประมวลข้อมูลจากทีมงานนักวิเคราะห์ก็คาดการณ์ตัวเลขที่คล้ายกัน โดยอยู่ในช่วงที่แคบมากกว่า สำหรับการคำนวณนี้ชี้ว่า ในปีหน้าอัตราแลกเปลี่ยนของ BTC จะไม่เกิน $25,222 และจะไม่ขยับต่ำกว่า $16,000 ในขณะเดียวกัน มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตในปี 2021 มีโอกาส 80% ที่จะขยับเหนือระดับของปี 2018 ที่ $828 พันล้านดอลลาร์
    นอกเหนือไปจากนักลงทุนรายสถาบันแล้ว แรงหนุนเพิ่มเติมสำหรับตลาดเงินคริปโตในปี 2021 จะได้มาจากประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจและถูกคว่ำบาตร สำหรับตอนนี้ ระบบธนาคารระหว่างประเทศ SWIFT ร่วมกับ สำนักงานอาชญากรรมทางการเงิน (FinCEN) และกลุ่มการพัฒนาเพื่อต่อต้านการฟอกเงินทางการเงิน (FATF) คือผู้กำกับดูแลแต่ละธุรกรรมระหว่างประเทศที่ใช้เงินดอลลาร์ ด้วยเหตุนี้เอง ประเทศที่ตกอยู่ภายใต้มาตรการคว่ำบาตรจะถูกพรากโอกาสในการค้าระหว่างประเทศ และจะถูกบังคับให้หันไปพึ่งพาเงินคริปโต เช่น เวเนซุเอลา ซึ่งก่อนหน้านี้เคยใช้ทองคำในการซื้อขาย ในเวลานี้ได้ปรับมาเป็นการนำเข้าสินค้าจากตุรกีและอิหร่านด้วยบิทคอยน์ อย่างน้อยนี่ก็เป็นหลักฐานจากแหล่งที่มานิรนามของธนาคารกลางในประเทศนี้

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้


« การวิเคราห์ตลาดและข่าว
รับการฝึก
มือใหม่ในตลาดใช่ไหม?ใช้ส่วน เริ่มฝึกฝน เริ่มฝึกฝน
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)