บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 30 มกราคม - 3 กุมภาพันธ์ 2023

EUR/USD: สัปดาห์หน้า: ห้าวันแห่งมรสุมและสึนามิ

  • ดูเหมือนว่าในสัปดาห์ที่แล้วทั่วโลกเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน คู่เงินหลายคู่เผชิญกับความผันผวน แต่ในช่วงท้ายสัปดาห์กลับเป็นการเคลื่อนไหวแบบไซด์เวยส์แบบเกือบสมบูรณ์แบบ เราจะไม่ปฏิเสธความสำคัญของวันหยุดเทศกาลตรุษจีน แต่เหตุผลที่เกิดความสงบดังกล่าวนั้นแน่นอนว่าไม่ใช่เพราะเทศกาล แต่เป็นเพราะเหตุการณ์สำคัญที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์หน้านี้

    ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ในช่วงกลางคืนในยุโรปและรุ่งสางในเอเชีย ธนาคารเฟดสหรัฐฯ จะประกาศอัตราดอกเบี้ย และผู้บริหารธนาคารฯ จะให้ความเห็น (หรืออย่างน้อยให้สัญญาณ) เกี่ยวกับนโยบายทางการเงินในอนาคต ธนาคารกลางยุโรปจะทำการตัดสินใจกำหนดอัตราดอกเบี้ยไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นในวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์

    แต่ก่อนที่เราจะให้คำคาดการณ์ใด ๆ เราจะมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงห้าวันที่ผ่านมา ข้อมูลที่ประกาศเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม แสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังมีผลงานดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ การประมาณการเบื้องต้นชี้ว่า GDP สหรัฐฯ เติบโตขึ้น 2.9% ปีต่อปีใน Q4 จากตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.6% ในขณะเดียวกัน ยอดขอรับสวัสดิการว่างงานเบื้องต้นของสัปดาห์จนถึงวันที่ 21 มกราคม ลดลงเหลือ 186K (ตัวเลขคาดการณ์อยู่ที่ 205K และดัชนีครั้งก่อนหน้าอยู่ที่ 192K) นี่เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุดในรอบสัปดาห์นับตั้งแต่เดือนเมษายน 2022 คำสั่งซื้อสินค้าคงทนก็สูงกว่าตัวเลขคาดการณ์เช่นกัน โดยลดลง -0.1% จากที่คาดการณ์คือ -0.2% ยอดขายบ้านหลังใหม่ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี โดยมียอดขาย 616K หลังในเดือนธันวาคม จาก 602K ในเดือนพฤศจิกายน

    เมื่อพิจารณาตัวเลขเหล่านี้ เราสามารถสรุปได้ว่า สถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้อยู่ในภาวะเศรษฐกิจถดถอย นโยบายทางการเงินที่ดุดันของธนาคารเฟดในปี 2022 (QT) ไม่ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อเศรษฐกิจ ดังนั้น ธนาคารจึงอาจเปลี่ยนไปใช้นโยบายทางการเงินแบบผ่อนคลาย (QE) ได้ อย่างไรก็ดี นักเศรษฐศาสตร์บางคนชี้ว่า ความต้องการของผู้บริโภคกำลังลดลง (2.1% ใน Q4 จากตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.9% และ 2.3% ในไตรมาสก่อนหน้า) จากสถิตินี้พวกเขาจึงสรุปว่ายังมีโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยแบบไม่รุนแรง

    ในเวลานี้ ตลาดเชื่อว่าธนาคารเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐาน (bps) ในการประชุมเดือนกุมภาพันธ์ อัตราดอกเบี้ยปัจจุบันอยู่ที่ 4.50% และตลาดเห็นพ้องกันว่าค่าสูงสุดจะอยู่ที่ระดับ 4.90-5.00% ในปี 2023 โดยมีความน่าจะเป็นที่อัตราดอกเบี้ยจะขึ้นอีก 25 bps ในเดือนมีนาคมอยู่ที่ 85% แต่ก็มีนักวิเคราะห์บางท่านที่เชื่อว่าระดับสูงสุดจะหยุดอยู่ที่บริเวณ 4.75% นอกจากนี้ อัตราดอกเบี้ยอาจถูกปรับลดลงมาที่ 4.25-4.50% ภายในปลายปี 2023 ซึ่งแน่นอนว่าพฤติกรรมดังกล่าวจะไม่เป็นผลดีต่อดอลลาร์ แต่มันจะยิ่งกระตุ้นสกุลเงินคู่แข่งในดัชนี DXY และสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง.

    สำหรับค่าเงินยุโรป ตลาดมั่นใจว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐานในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ แต่นักวิเคราะห์ชี้ว่า ค่าความแตกต่างระหว่างการขึ้นดอกเบี้ย USD และ EUR เป็นสิ่งที่ตลาดได้ประเมินไว้แล้วในอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นอัตราแลกเปลี่ยนจึงคงตัวอยู่ที่กรอบ 1.0845-1.0925 และอนาคตอันใกล้จะขึ้นอยู่กับความเห็นและสัญญาณของผู้บริหารธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรปที่จะกล่าวให้ทราบหลังการประชุม

    ราคาคู่นี้เริ่มต้นวันจันทร์ที่ 1.0855 โดยปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.0875 โดย ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 27 มกราคม) คะแนนเสียงของตลาดกระทิงและหมีแบ่งออกเป็นสองส่วนแทบจะเท่ากัน 50% ของนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นและราคาคู่นี้จะขยับขึ้น ส่วน 45% คาดการณ์ว่าดอลลาร์จะสามารถกลับมาชนะได้บางส่วน ด้านผู้เชี่ยวชาญ 5% ที่เหลือเลือกที่จะรอฟังความเห็นของธนาคารกลางทั้งสองแห่ง โดยไม่ขอเลือกฝั่งใด ในส่วนของอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ให้ภาพรวมที่แตกต่างออกไป ในที่นี้มีออสซิลเลเตอร์ 90% ที่ให้สัญญาณสีเขียว 5% ชี้ว่าราคาอยู่ในโซน overbought และ 5% ให้สัญญาณเป็นสีเทากลาง ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 80% ที่แนะนำให้เข้าซื้อ และ 20% แนะนำให้ขาย แนวรับที่ใกล้ที่สุดของคู่นี้อยู่ในโซน 1.0835-1.0845 จากนั้นเป็นระดับและโซนที่ 1.0800, 1.0740-1.0775, 1.0700-1.0710, 1.0620-1.0680, 1.0560 และ 1.0480-1.0500 ส่วนฝั่งตลาดกระทิงจะเจอกับแนวต้านที่ระดับ 1.0895-1.0935, 1.0985-1.1010, 1.1130 หลังจากนั้นราคาจะต้องพยายามยืนในกรอบ 1.1260-1.1360 ให้สำเร็จ

    สัปดาห์หน้านี้แน่นอนว่าจะเต็มไปด้วยมรสุมและเหตุการณ์ต่าง ๆ มากมาย นอกเหนือจากการประชุมของธนาคารเฟดและ ECB แล้ว ค่า GDP จะประกาศในวันที่ 30 มกราคม ส่วนสถิติอัตราว่างงานและอัตราเงินเฟ้อ (CPI) จะประกาศในวันที่ 31 มกราคม ด้านดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ (PMI) ในภาคการผลิตของเยอรมนีจะประกาศในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ เราจะได้ทราบว่าสถานการณ์ราคาผู้บริโภค (CPI) ในยูโรโซนเป็นอย่างไร ตลอดจนดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ (PMI) ในสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ นอกจากนี้ ตามธรรมเนียมปกติเราจะรอสถิติชุดสำคัญจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ในช่วงวันที่ 1 2 และ 3 กุมภาพันธ์ รวมถึงอัตราว่างงานและจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตร (NFP)

GBP/USD: อนาคตของเงินปอนด์อยู่ในหมอกหนาทึบ

  • ธนาคารแห่งชาติอังกฤษ (BoE) จะตัดสินใจกำหนดอัตราดอกเบี้ยในวันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์นี้เช่นกัน ถึงแม้ว่ามีความน่าจะเป็นถึง 100% ที่ธนาคารเฟดและ ECB จะขึ้นดอกเบี้ย ทุกอย่างดูไม่เรียบง่ายขนาดนั้นสำหรับเงินปอนด์ นักวิเคราะห์บางรายมองว่า BoE อาจเซอร์ไพรส์ตลาดโดยการหยุดพักและชะลอมาตรการคุมเข้มนโยบายทางการเงิน

    ถึงแม้ว่าจะไม่หยุดพัก เราก็อาจจะได้เห็นมาตรการ QT รอบใหม่ แทนที่มาตรการ QE โดย Jeremy Hunt รัฐมนตรีกระทรวงการคลังของอังกฤษกล่าวเมื่อวันศุกร์ที่ 27 มกราคมว่า “การฟื้นตัวที่อ่อนแอในภาคสาธารณะหลังภาวะโรคระบาดยิ่งบังคับให้จำเป็นต้องมีการปฏิรูป” และ “การลดภาษีที่ดีที่สุดในขณะนี้คือการลดอัตราเงินเฟ้อ” และยารักษาที่ดีที่สุด (และอาจเป็นอันเดียว) สำหรับภาวะเงินเฟ้อคือการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างที่แสดงให้เห็นจากธนาคารเพื่อนร่วมงานของเรา

    ฝั่งกระทิงของเงินปอนด์หวังว่าธนาคารกลางอังกฤษจะขึ้นดอกเบี้ย 50 จุดพื้นฐาน และจะขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 4.50% จากระดับปัจจุบันที่ 3.50% ภายในฤดูร้อน สำหรับฝั่งตลาดหมี พวกเขาเชื่อว่าภัยเศรษฐกิจขาลงและภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะยับยั้งไม่ให้ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 25 จุดในขณะนี้ และจะเกิดขึ้นเป็นครั้งสุดท้ายและบีบให้ต้องใช้นโยบายแบบผ่อนคลายแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะยังคงสูง

    โดยรวมแล้ว อนาคตยังคงอยู่ในหมอกคลุมเครือ แต่ข้อเท็จจริงที่ชัดเจนก็คือเศรษฐกิจอังกฤษยังมีปัญหาใหญ่หลายประการ เห็นได้จากดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจ (PMI) ที่ลดลงจาก 49.0 เหลือ 47.8 จากการคาดการณ์ว่าควรจะเพิ่มขึ้น 49.3

    Andrew Bailey ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษได้กล่าวไม่นานมานี้ว่า เศรษฐกิจอังกฤษเผชิญกับภาวะขาดแคลนแรงงานกว่า 300,000 หลังเบร็กซิตเนื่องจากไม่มีการเคลื่อนย้ายแบบอิสระของแรงงานจากอียูอีกต่อไป แรงงานที่ขาดแคลนดังกล่าวกลายเป็นปัญหาที่ถูกกดดันจากราคาเชื้อเพลิงที่สูงขึ้นและปัญหาอุปทานสินค้าหยุดชะงัก ตลอดจนปัญหาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการคว่ำบาตรรัสเซียจากการรุกรานประเทศยูเครน

    อัตราแลกเปลี่ยน GBP/USD ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากเท่าไรในช่วงห้าวันที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นที่ 1.2395 ราคาปิดตลาดที่ระดับดังกล่าว ส่วนตัวเลขคาดการณ์กลางสำหรับอนาคตอันใกล้ก็ดูกำกวมเช่นกัน โดยผู้เชี่ยวชาญ 35% เชื่อว่าถึงเวลาที่คู่นี้จะขยับลงทิศใต้ แต่หลายคนก็ชี้ไปยังทิศเหนือ และ 30% ที่เหลือชี้ไปยังทิศตะวันออก ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 85% ที่ให้สัญญาณสีเขียว 15% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน overbought ในส่วนของอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 100% ให้สัญญาณสีเขียว สำหรับระดับและโซนแนวรับของคู่นี้ ได้แก่ 1.2360, 1.2300-1.2330, 1.2250-1.2270, 1.2200-1.2210, 1.2145, 1.2085-1.2115, 1.2025, 1.1960, 1.1900, 1.1800-1.1840 ทั้งนี้ หากราคาขยับขึ้นทิศเหนือ จะต้องเจอกับแนวต้านที่ระดับ 1.2430-1.2450, 1.2510, 1.2575-1.2610, 1.2700, 1.2750 และ 1.2940

    ในบรรดาเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจสหราชอาณาจักรในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ นอกเหนือจากการประชุมของธนาคารกลางอังกฤษแล้ว เราอาจเน้นวันที่ 1 และ 3 กุมภาพันธ์ ซึ่งจะมีการประกาศสถิติกิจกรรมทางธุรกิจ (PMI) ประจำเดือนมกราคม

USD/JPY: อนาคตของคู่นี้ขึ้นอยู่กับธนาคารเฟด

  • ต่างจากธนาคารแห่งอื่น ๆ ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่อัตราติดลบที่ -0.1% ในการประชุมเมื่อวันที่ 18 มกราคม การประชุมครั้งถัดไปจะไม่เกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้ โดยจะมีขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม ซึ่ง Haruhiko Kuroda จะทำหน้าที่เป็นประธาน BoJ เป็นครั้งสุดท้าย อำนาจหน้าที่ของเขาจะหมดลงในวันที่ 8 เมษายนและการประชุมของ BoJ วันที่ 28 เมษายนจะมีประธานธนาคารกลางญี่ปุ่นคนใหม่ สถานการณ์นี้เองที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในนโยบายทางการเงินของประเทศ ในระหว่างนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดโฟกัสอยู่ที่ธนาคารเฟดสหรัฐฯ

    เช่นเดียวกันกับคู่ก่อนหน้า USD/JPY ไม่มีความเคลื่อนไหวมากนักในสัปดาห์ที่แล้ว โดยราคาเริ่มต้นที่ 129.57 และปิดตลาดที่ 129.85 การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ก็ไม่ได้ให้คำแนะนำใด ๆ จนกว่าจะได้ทราบผลการประชุมของธนาคารเฟดครั้งถัดไป นักวิเคราะห์ 50% โหวตให้ฝั่งกระทิง 40% โหวตให้ฝั่งหมี ส่วนอีก 10% ไม่ให้ความเห็นใด ๆ ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 10% ชี้ไปยังทิศเหนือ 35% ชี้ไปยังทิศใต้ และ 50% ชี้ไปยังทิศตะวันออก สำหรับอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 15% ที่ชี้ไปยังทิศเหนือ 85% ชี้ไปยังทิศทางตรงกันข้าม และ 55% ชี้ไปยังทิศตะวันออก ระดับแนวรับที่ใกล้ที่สุดอยู่ในโซน 129.50 ตามมาด้วยระดับและโซนที่ 128.90-129.00, 127.75-128.10, 127.00-127.25, 126.35-126.55, 125.00, 121.65-121.85 ด้านระดับและโซน ได้แก่ 130.50, 131.25, 132.00, 132.80, 133.60, 134.40 และจากนั้นคือ 137.50

    ไม่มีการคาดการณ์เหตุการณ์สำคัญใด ๆ เกี่ยวกับเศรษฐกิจญี่ปุ่นในสัปดาห์นี้

คริปโตเคอเรนซี: กลยุทธ์การเทรดใหม่: วันตรุษจีน

  • บิทคอยน์มีพฤติกรรมที่นิ่งสงบมากกว่าดัชนีหุ้น S&P500, Dow Jones และ Nasdaq ในช่วงรอดูการประชุมธนาคารเฟดในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้ แน่นอนว่ายังมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอยู่บ้าง แต่ความผันผวนของบิทคอยน์ถือว่าต่ำลงอย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ก็เป็นไปได้ว่านี่อาจจะเป็นแค่ภาวะนิ่งสงบก่อนมรสุมเข้า ซึ่งตามปกติแล้วมรสุมจะเกิดขึ้นหลังธนาคารเฟดสหรัฐฯ ประกาศนโยบายทางการเงินและอัตราดอกเบี้ยของ USD

    Cathy Wood ซีอีโอของ Ark Invest มีความเห็นว่าตลาดคริปโตจะเข้าสู่ระยะใหม่ในปี 2023 การเติบโตของบิทคอยน์และสกุลเงินเสมือนจริงอื่น ๆ จะเป็นผลของการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ มาตรการนี้เองจะเป็นตัวกระตุ้นให้นักลงทุนทดสอบตลาดหุ้นและสกุลเงินดิจิทัล และก่อนหน้านี้ Mike McGlone นักยุทธศาสตร์จาก Bloomberg ได้แสดงมุมมองที่คล้ายกันว่ามีโอกาสที่ BTC จะขยับขึ้นไปที่ $30,000

    Adam Farthing หัวหน้าด้านความเสี่ยงของบริษัทคริปโต B2C2 ตั้งข้อสังเกตว่า บิทคอยน์จำเป็นต้องยืนเหนือระดับสำคัญที่บริเวณ $25,000 ให้สำเร็จเพื่อทะยานขึ้นต่อไปได้ “มันจะเป็นงานหิน” ผู้เชี่ยวชาญรายนี้มองว่า หลังจากผ่านระดับสำคัญดังกล่าวได้แล้ว ความสนใจจะเริ่มเพิ่มขึ้นจากคนภายนอกที่อยากเข้าสู่ตลาดนี้

    นักวิเคราะห์จาก Bernstein บริษัทโบรกเกอร์เชื่อว่า การทะยานขึ้นไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในขณะนี้ เนื่องจากไม่มีสัญญาณ “การอัดฉีดรอบใหม่ใด ๆ” ในอุตสาหกรรม อย่างไรก็ดี พวกเขามีความเห็นว่าเงินทุนจากสถาบันต่าง ๆ จะเริ่มแสดงให้เห็นถึงความสนใจในตลาดคริปโตในปีนี้ เพราะมันกลายเป็นประเภทสินทรัพย์ที่มีการกำกับดูแลมากขึ้น (เราเคยยกประเด็นเรื่องการกำกับดูแลและความขัดกันกับหลักการของคริปโตเคอเรนซีไว้แล้วหลายครั้งในบทวิเคราะห์ของเรา)

    และ Nicholas Merten นักวิเคราะห์คริปโตเคอเรนซีและผู้ก่อตั้งช่อง DataDash กล่าวว่า คริปโตเคอเรนซีมีอนาคตที่สดใส แต่หลายคนประเมินสถานการณ์โลกต่ำเกินไป ความเสียหายที่เกิดจาก FTX, Celsius, Three Arrows Capital และ Terraform Labs ได้ทิ้งรอยแผลไว้ในอุตสาหกรรม นอกจากนี้ องค์ประกอบของเศรษฐกิจมหภาคก็เป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาด้วยเช่นกัน เนื่องจากหลายประเทศกำลังเผชิญปัญหาเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และปัญหาห่วงโซ่อุปทานที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้กล่าวว่านักลงทุนจำเป็นต้องเข้าใจว่าแนวโน้มกระทิงระยะยาวนั้นจบลงแล้ว โชคไม่ดีที่อุตสาหกรรมสินทรัพย์ดิจิทัลจะต้องเตรียมรับมือกับความท้าทายใหม่ ๆ และแนวโน้มกระทิงรอบปัจจุบันในตลาดเป็นเพียงการปรับฐานชั่วคราวในแนวโน้มหมีในภาพรวมเท่านั้น

    Jim Cramer จาก CNBC พิธีกรรายการทีวี “Mad Money” เห็นด้วยกับ Nicholas Merten โดยเขาเน้นย้ำถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับบิทคอยน์หลังการล่มสลายของตลาด FTX เช่นกัน เขาเน้นย้ำว่า สถานการณ์ที่คล้ายกันอาจเกิดขึ้นได้ทุกขณะกับบริษัทคริปโตขนาดใหญ่อื่น ๆ เขามองว่าไม่มีใครรู้ว่าผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมกำลังซ่อนอะไรอยู่ ไม่มีการันตว่าพวกเขาซื่อสัตย์กับลูกค้าอย่างแท้จริง ข่าวฉาวใด ๆ ก็สามารถทำให้บิทคอยน์ทรุดลงได้ทุกเมื่อ ซึ่งหมายความว่าสินทรัพย์ของนักลงทุนตกอยู่ในความเสี่ยง โดยเขาอ้างคำพูดของ Carley Garner นักยุทธศาสตร์อาวุโสด้านสินค้าโภคภัณฑ์ & โบรกเกอร์จาก DeCarley Trading และแนะนำให้อยู่ห่างจากสกุลเงินเสมือนจริงและเลือกทองคำเป็นเครื่องประกันความเสี่ยงต่อภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจที่ผันผวน

    Jamie Dimon ประธาน JPMorgan กล่าวต่อ CNBC ว่า เขาไม่มั่นใจว่าการออกบิทคอยน์จะจำกัดอยู่ที่ 21 ล้านเหรียญจริง ๆ “คุณจะรู้ได้อย่างไร? บางทีมันอาจจะไปถึง 21 ล้านและรูปภาพของซาโตชิจะปรากฏขึ้นมาแล้วก็หัวเราะเยาะใส่คุณก็เป็นได้” เขากล่าว ซึ่งผู้บริหารรายนี้เคยออกมาแสดงข้อกังหาต่อสาธารณะตั้งแต่เดือนตุลาคม 2022 เกี่ยวกับรหัสที่เขียนอยู่ในอัลกอริทึมของบิทคอยน์ “คุณเคยอ่านอัลกอริทึมทั้งหมดไหม? ทุกคนเชื่อมันทั้งหมดหรือ?” เขากล่าวพร้อมอมยิ้มตลอดเวลา

    เนื่องด้วยการฮาล์ฟเหรียญที่ถูกตั้งโปรแกรมไว้ การออกเหรียญครบ 21 ล้านบิทคอยน์น่าจะเกิดขึ้นในปี 2141 ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าการจำกัดการออกบิทคอยน์นั้นมาจากรหัสแค่ห้าบรรทัดเท่านั้น ซึ่งมันเปิดให้ทุกคนสามารถศึกษาและตรวจสอบได้

    และตรงนี้เองที่ปรากฏคำถามขึ้นมาว่า แล้วถ้าคำโจมตีของ Jamie Dimon ต่อบิทคอยน์นั้นเชื่อมโยงกับความต้องการที่จะกำจัดคู่แข่งที่ประสบความสำเร็จรายนี้ล่ะ? มูลค่ารวมของบิทคอยน์ขยับขึ้นเกิน $443 พันล้านดอลลาร์ และสูงกว่าสถาบันการเงินดั้งเดิมรายใหญ่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธนาคารระดับโลกต่าง ๆ ตัวอย่างเช่น มูลค่ารวมของบริษัท JPMorgan Chase ธนาคารขนาดใหญ่ของอเมริกาอยู่ที่ $406.42 พันล้านดอลลาร์ ส่วน Bank of America มีมูลค่าตามราคาตลาดอยู่ที่ $277.56 พันล้านดอลลาร์ นอกจากนี้ BTC ยังแซงหน้าบริษัทอื่น ๆ เช่น Alibaba ($317.01 พันล้านดอลลาร์), Samsung ($335.37 พันล้านดอลลาร์), Mastercard ($365.09 พันล้านดอลลาร์) และ Walmart ($385.15 พันล้านดอลลาร์) อย่างไรก็ดีมันยังแพ้ Tesla ($454.72 พันล้านดอลลาร์)

    ข้อมูลจาก CompaniesMarketCap ชี้ว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับที่ 16 ในโลก โดยผู้นำคือทองคำ ($12.77 ล้านล้านดอลลาร์), Apple ($2.25 ล้านล้านดอลลาร์) และ Saudi Aramco ($1.94 ล้านล้านดอลลาร์)

    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ (ช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 27 มกราคม) BTC/USD ซื้อขายอยู่ในโซน $23,070 โดยมูลค่ารวมในตลาดคริปโตอยู่ที่ $1.060 ล้านล้านดอลลาร์ ($1.038 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้า) ส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขึ้นมาจาก 51 เป็น 55 จุดในช่วงหนึ่งสัปดาห์และขยับจากโซนตรงกลางเป็นโซนความโลภ ซึ่งแปลว่าเป็นช่วงที่อันตรายที่จะเปิดคำสั่งขาย

    และในช่วงท้ายของบทรีวิวของเราเป็นไลฟ์แฮ็คคริปโตที่ตลกขบขันเล็กน้อย ในครั้งนี้ เราจะมาพูดถึงข้อสังเกตที่น่าสนใจข้อหนึ่ง แน่นอนว่าหากคุณอยากจะลองนำไปใช้ ขอให้คุณรับผิดชอบตนเองแต่เพียงผู้เดียว แต่ถ้าคุณได้เงินจริง ๆ ขึ้นมา ก็อย่าลืมบอกให้เราทราบและอย่าลืมขอบคุณเราด้วย

    ไอเดียก็คือ การซื้อบิทคอยน์ในช่วงท้ายวันในวันแรกของวันตรุษจีน และขายเหรียญใน 10 วันถัดมาจะการันตีว่าให้ผลกำไรโดยเฉลี่ยกว่า 9% ไอเดียนี้ถูกค้นพบโดย Markus Thielen ผู้อำนวยการด้านวิจัยและยุทธศาสตร์จาก Matrixport โดยวิธีนี้รับประกันกำไรถึง 100% ในช่วงแปดปีที่ผ่านมาตั้งแต่ปี 2015 ถึง 2022 การทำธุรกรรมเช่นนี้จะให้กำไรมากที่สุดในปี 2017 คือ 15% ในขณะที่ปี 2018 ที่มีการเกิดฤดูหนาวคริปโต นักลงทุนก็ยังได้กำไรแม้จะเพียง 1% ก็ตาม สำหรับในปี 2023 นี้จะต้องซื้อทองคำดิจิทัลในวันที่ 22 มกราคม และขายสินทรัพย์ 10 วันให้หลังคือวันที่ 1 กุมภาพันธ์ โดยบิทคอยน์มีราคาอยู่ที่ $22,900 ณ วันที่เสนอให้ซื้อสินทรัพย์ Thielen เชื่อว่าราคาน่าจะขยับขึ้นถึง $25,000 ภายในต้นเดือนกุมภาพันธ์

    อีกไม่นานนี้เราจะได้ทราบว่า ปรากฏการณ์ดังกล่าวจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ในครั้งนี้ และถ้าหากใครอยากทำตามคำแนะนำของ Thielen ในอนาคต เราขอแจ้งให้คุณทราบว่าวันตรุษจีนในปีหน้าจะตรงกับวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2024

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา