บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 28 กันยายน - 2 ตุลาคม 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (75%) ซึ่งสนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ได้ให้สัญญาณว่าราคาคู่นี้อยู่ในโซน overbought โดยคาดว่าราคาจะปรับตัวลงทิศใต้ โดยมีข้อโต้แย้งก็คือราคาได้ปิดตลาดท้ายสัปดาห์ใกล้กับโซนแนวต้านสำคัญที่ 1.1900 เมื่อวันศุกร์ที่ 18 กันยายน โดยคำทำนายดังกล่าวปรากฏว่าถูกต้อง 100% และท้ายที่สุดราคาได้ตัดผ่านแนวรับระยะกลางที่ 1.1700 โดยคู่ EUR/USD ดิ่งลงในสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงระดับ 1.1610
    มีเหตุผลในทางเศรษฐกิจมหภาคหลายประการที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและยูโรอ่อนค่าลง ประการแรกก็คือสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสในเลวร้ายยิ่งขึ้นในประเทศอียู ประการที่สองคือข้อกังหาเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เป็นอีกครั้งที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟด ได้ร้องขอให้รัฐบาลหารือในประเด็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในกรอบการผ่อนคลายเชิงปริมาณเพิ่มเติม เรายังต้องไม่ลืมสถานการณ์การเติบโตของผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทั้งหมดนี้ทำให้นักลงทุนหันหลังให้ตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ และมองว่าดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ด้วยเหตุนี้จึงมีการกวาดซื้อเงินดอลลาร์ จนดัชนี DXY ที่สะท้อนมูลค่าของ USD เทียบกับค่าเงินหลักอื่น ๆ ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วถึงระดับ 94.70 และคู่ EUR/USD ปิดตลาดที่ 1.1625
  • GBP/USD อันดับแรกเราจะพูดถึงเล็กน้อยเกี่ยวกับคู่เงินนอกมาตรฐานอย่าง BTC/GBP ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับบิทคอยน์ เมื่อธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ติดลบ ในการประชุมครั้งที่แล้วเมื่อวันที่ 17 กันยายน ฝ่ายบริหารธนาคารไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย แต่มีสัญญาณชัดเจนจากบันทึกการประชุมที่เผยแพร่ว่ามีโอกาสที่จะเกิดขึ้นและอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
    รายงานข่าวนี้เป็นที่จับตามองในแวดวงเงินคริปโตด้วยเช่นกัน นายไทเลอร์ วิงเคิลโวส นักลงทุนบิทคอยน์และเศรษฐีพันล้าน กล่าวทันทีว่า “หากธนาคารกลางอังกฤษตัดสินใจใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ พวกเขาจะต้องจ่ายเงินเพิ่มเติมหากคุณยืมเงินจากพวกเขา มันยากที่จะจินตนาการถึงแรงจูงใจในการขอสินเชื่อมาลงทุนในบิทคอยน์ในระยะยาว”
    เป็นการมองการณ์ไกลที่ดีเยี่ยมของนายวิงเคิลโวสและเงินคริปโตพื้นฐาน แต่ ณ ขณะนี้สิ่งนี้ยังไม่เกิดขึ้น คราวนี้เราลองมากลับมาที่กราฟ GBP/USD เมื่อช่วงวันจันทร์-วันอังคาร เงินปอนด์เริ่มอ่อนค่าลงหลังจากดอลลาร์ดีดขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ราคาคู่นี้ได้ขยับในทิศทางด้านข้างในช่วงครึ่งหลังของสัปดาห์ แม้ว่าสหราชอาณาจักรได้รายงานตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาเพิ่มขึ้นเหมือนกันกับฝรั่งเศส โครงการจ้างงานชุดใหม่ของรัฐบาลช่วยหนุนไว้ไม่ให้เงินปอนด์อ่อนค่าลงต่อไป ต่างจากยูโร ทำให้ราคาคู่นี้ปิดตลาดรอบห้าวันที่บริเวณ 1.2745
  • USD/JPY เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้โดยนักวิเคราะห์ 40% ราคาคู่นี้ไม่สามารถตั้งหลักในโซน 104.00 ได้สำเร็จ หลังจากนั้นราคาขยับขึ้นไปอีก 155 จุด ผลลัพธ์รอบสัปดาห์แสดงให้เห็นว่า ในขั้นนี้นักลงทุนที่จะมองดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยหลัก ไม่ใช่ทองคำ หรือเงินเยน หลักฐานก็คือการเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันในความสัมพันธ์ของเงินเยนกับความผันผวนในดัชนีหุ้นสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตัวกำหนดระดับความเสี่ยงว่าเพิ่มขึ้นหรือลดลง ทำให้ผลลัพธ์ในรอบห้าวันทำการ ราคากลับมาในกรอบรอบสองเดือนที่ 105.20-106.55 และปิดตลาดที่ 105.57
  • คริปโตเคอเรนซี ความพยายามของบิทคอยน์ที่จะยืนเหนือระดับ $11,000 อีกครั้งนั้นกลับล้มเหลว และก็เป็นไปตามที่เคยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง ราคาพยายามจะบินขึ้นในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ตลาดแลกเปลี่ยนสำคัญหลายแห่งของโลกปิดทำการ นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าบิทคอยน์สัมพันธ์กับอะไรมากกว่าระหว่างสินทรัพย์หุ้นที่มีความเสี่ยงหรือเป็นสินทรัพย์ตั้งรับอย่างทองคำ ทุกอย่างปรับราคาลงในสัปดาห์ที่แล้ว มีเพียงดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเท่านั้น ดังนั้นอาจจะถูกต้องมากกว่าที่จะพูดถึงความสัมพันธ์ในทางตรงกันข้ามระหว่างบิทคอยน์และดอลลาร์ (แม้ว่ามันจะชัดเจนอยู่แล้วก็ตาม)
    ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 25 กันยายน ราคาทองคำดิ่งลง 5% ดัชนี S&P ปรับลง 2.5% ดาวน์โจนส์ 3.5% และ BTC 3.2% นอกจากนี้ เมื่อวันพุธ ราคาบิทคอยน์ทำราคาต่ำสุดที่ $10,125 ลงไปถึง 7.5%
    ตามความเห็นของผู้เชี่ยวชาญเรื่องความสัมพันธ์ของตลาดหุ้น เหตุผลที่อัตราแลกเปลี่ยน BTC/USD ปรับลงมา เพราะแนวโน้มขาลงในตลาดหุ้นอันเนื่องมาจากคำแถลงของธนาคารเฟดว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในวิกฤติอันรุนแรง และเป็นผลมาจากยอดผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่พุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง นอกจากนี้ ข่าวจากจีนที่ระบุว่า ธนาคารแห่งชาติจีนอาจสั่งระงับบัญชีนักเทรดที่มีความเกี่ยวข้องกับการเทรด OTC เป็นเวลา 5 ปี เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการต่อสู้กับการฟอกเงินด้วยเงินคริปโตก็มีบทบาทด้วยเช่นกัน
    ดังนั้น บิทคอยน์จึงตกอยู่ภายใตม้แรงกดดันจากแรงขายบิทคอยน์โดยนักขุดอย่างต่อเนื่อง นักขุดบล็อคยังคงพยายามที่จะกำจัดเงินออมของพวกเขา แม้ว่าจะไม่ใช่ในระดับเดียวกันกับเมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเห็นว่า นักขุดเหรียญเป็นแค่ปัจจัยหนึ่งจากสองปัจจัยที่ส่งผลเป็นแรงกดดันอย่างรุนแรงต่อบิทคอยน์ในเวลานี้ ปัจจัยสำคัญประการที่สองคือตลาดแลกเปลี่ยน ค่าธรรมเนียมนั้นเปรียบเสมือนกับภาษีในตลาด ซึ่งทำให้นักขุดเหรียญรีบที่จะขายสินทรัพย์ของพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ พยายามที่จะชำระค่าธรรมเนียมให้ต่ำที่สุดสำหรับแต่ละธุรกรรม การขัดกันระหว่างปัจจัยพื้นฐานนี้ทำให้นักวิเคราะห์ชื่อดังอย่าง นายวิลลี วู มองว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้บิทคอยน์ไม่สามารถออกจากกรอบแคบ ๆ ที่ช่วง 10,000-11,000 ดอลลาร์ได้
    มูลค่ารวมของเงินคริปโตปรับลดลงในรอบเจ็ดวันจาก $355 พันล้านเหรีญ โดยกลับมาสู่ระดับเดียวกับเมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้าที่ $335 พันล้านดอลลาร์ ดัชนี Crypto Fear & Greed Index เกือบอยู่ที่ระดับเดิมก่อนหน้าที่ 46 (49 เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว) แต่ดัชนีการคุมตลาดของบิทคอยน์ขยับขึ้น 1.4% แม้ว่าราคาเหรียญจะลดลงก็ตาม จึงเป็นตัวสะท้อนว่า การขายเหรียญอัลท์คอยน์นั้นรวดเร็วมากยิ่งกว่า ดังนั้น ตัวอย่างเช่น หากคู่ BTC/USD ปรับลงมา 3.2% ในเวลาเจ็ดวัน Ethereum (ETH/USD) ปรับลดลงมาถึง 10% ด้วยกัน

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD การทำนายว่าการปรับฐานราคาของคู่นี้ในสัปดาห์ที่ผ่านมาจะนำไปสู่เทรนด์ระยะยาวหรือไม่นั้นเป็นเรื่องยาก หรือว่าราคาจะกลับสู่กรอบที่ 1.1700-1.2010 ต่อไป แต่สิ่งที่ชัดเจนก็คือ หากมีการเทขายเงินยูโรและดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อไปนั้น สิ่งนี้จะนำไปสู่ภาวะทรุดตัวของตลาดหุ้นและสินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่งยังมีแรงหนุนจากผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน บทวิเคราะห์บางส่วนมองว่า ผลตอบแทนอาจเพิ่มขึ้นจาก 1.2% ในปัจจุบันเป็น 1.5%
    ในอีกทางหนึ่ง บริษัทขนาดใหญ่ข้ามชาติในสหรัฐฯ ไม่ต้องการให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากสิ่งนี้จะทำให้ราคาสินค้าของพวกเขาแพงขึ้น และยอดขาย รวมถึงผลกำไรลดลง
    การเลือกตั้งประธานาธิบดีที่จะมาถึงก็ยิ่งทำให้สถานการณ์คลุมเครือมากกว่าเดิม เนื่องจากผลการเลือกตั้งอาจส่งผลต่อนโยบายทางการเงินของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้อย่างหน้ามือเป็นหลังมือ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างวอชิงตันกับบรัสเซลส์และปักกิ่ง
    โดยทั่วไป สถานการณ์นั้นจะเรียกว่าคลุมเครือก็ไม่พอ ดังนั้น คะแนนเสียงของผู้เชี่ยวชาญจึงแบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ ดังนี้ 30% โหวตแนวโน้มขาลงของ EUR/USD อีก 30% โหวตขาขึ้น และ 40% มีท่าทีเป็นกลาง
    สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค ดอลลาร์ชนะอย่างชัดเจน การวิเคราะห์กราฟโดยอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บน H4 และ 80% บน D1 รวมถึงออสซิลเลเตอร์ 85% บนกรอบเวลาทั้งสองโหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น และแนวโน้มราคาจะลดลงต่อไป ในส่วนออสซิลเลเตอร์ 15% ที่เหลือให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold โดยมีระดับแนวรับที่ 1.1400, 1.1285, 1.1240 และ 1.1165 ส่วนระดับแนวต้านที่ 1.1700, 1.1765, 1.1900 และ 1.2010
    สำหรับเหตุการณ์เศรษฐกิจมหภาคในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ควรให้ความสนใจกับสถิติตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ เยอรมนี และยูโรโซน ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 30 กันยายน ในวันเดียวกันนั้น เราจะได้ทราบว่าค่า GDP ปรับลดลงมาเท่าไรในไตรมาสที่สองของปี 2020 และแน่นอนเราต้องไม่ลืมว่า ตามธรรมเนียมแล้วในวันศุกร์แรกของเดือน วันที่ 2 ตุลาคมนี้ จะมีการประกาศสถิติตจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ รวมถึงจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตรของประเทศ (NFP)
  • GBP/USD ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาด เงื่อนไขเบร็กซิตที่ยังไม่มีข้อสรุป สถิติเศรษฐกิจที่อ่อนแอ และแนวโน้มการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบ ค่าเงินปอนด์แทบจะไม่มีแนวรับที่แข็งแรงพอที่จะตัดไม่ผ่าน ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญ 65% จึงเชื่อว่า หลังจากราคาพักตัวชั่วคราว เงินปอนด์จะดิ่งลงมาอีกครั้ง โดยออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% บนกรอบ D1 เห็นด้วยกับคำทำนายนี้ และตั้งเป้าหมายราคาฝั่งตลาดหมีไว้ที่โซน 1.2500
    มุมมองทางเลือกได้รับการสนับสนุนโดยนักวิเคราะห์ 35% การวิเคราะห์กราฟ และออสซิลเลเตอร์ 15% ซึ่งให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold ภารกิจของฝั่งกระทิงคือการตัดทะลุผ่านแนวต้านที่ 1.3000 และกลับสู่ช่วง 1.3000-1.3200

  • USD/JPY นักวิเคราะห์ 60% รวมถึงการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ยังคงหวังว่า เงินเยนจะสามารถฟื้นกลับคืนส่วนที่ลงไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และราคาสามารถกลับมาสู่ระดับที่ 104.00 ในขณะเดียวกันนั้น ยังไม่ตัดโอกาสที่ราคายังคงสามารถขยับถึงระดับต่ำสุดของวันที่ 9 มีนาคมที่ 101.17 และจากนั้นไปที่ระดับสำคัญทางจิตวิทยาที่ 100.00 ในระยะกลาง
    สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 40% ที่เหลือ สนับสนุนโดยการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 พวกเขาคาดว่าราคาจะขยับขึ้นอย่างน้อยไปที่กรอบด้านบน 105.20-106.55 และมีโอกาสที่จะทดสอบระดับ 107.00
  • คริปโตเคอเรนซี อันดับแรกจะพูดถึงเล็กน้อยเกี่ยวกับคำทำนายในระยะยาว ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ ทางการอียูกำลังเตรียมความพร้อมที่จะเริ่มใช้กฎเกณฑ์ใหม่สำหรับการกำกับดูแลเงินคริปโตภายในปี 2024 และมีแนวโน้มสูงที่กฎเหล่านี้จะออกมาเพื่อเอื้อต่อเงิน “คริปโต-ยูโร” อย่างมากที่สุด และข้อดีของสินทรัพย์เงินดิจิทัลที่มีอยู่ในปัจจุบันจะถูกทำให้เป็นศูนย์ เจ้าหน้าที่ด้านการเงินจะพยายามที่จะเข้ามาควบคุมตลาดเงินคริปโตอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งจริง ๆ แล้วนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกควบคุมโดยเฉพาะ และผู้สนับสนุนนั้นจะต้องหาวิธีเอาตัวรอดจากกับดักของหน่วยงานเหล่านี้ ปัญหาหลักก็คือการถอนเงินเหรียญคริปโตเป็นเงินธรรมดา ในขั้นนี้เองที่จะต้องมีการระบุตัวตนของเจ้าของเงิน และในส่วนนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนคาดว่า บริษัทเงินคริปโตที่จดทะเบียนต่างประเทศทั้งในแอฟริกาและเอเชียที่จัดตั้งขึ้นใหม่จะรวมอยู่ในห่วงโซ่ธุรกรรมด้วย
    ต่อไปเป็นข่าวเล็กน้อยเกี่ยวกับอนาคตระยะไกล นักวิเคราะห์บางคนมีความเห็นต่างจากรอยเตอร์ และให้ภาพอนาคตที่สดใสมากกว่าสำหรับบิทคอยน์ นายไมค์ แม็คโกลน หัวหน้านักยุทธศาสตร์สินค้าโภคภัณฑ์ของ Bloomberg ชี้ว่า จำนวนเหรียญบิทคอยน์ที่จำกัดและระดับการใช้งานที่เพิ่มสูงขึ้นจะช่วยให้มูลค่าของบิทคอยน์เพิ่มขึ้นอย่างช้า ๆ “ผมไม่เห็นว่าอะไรจะสามารถหยุดยั้งบิทคอยน์จากสิ่งที่ทำอยู่ และสิ่งที่มันทำมาอย่างสำเร็จตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งก็คือเติบโตขึ้น” กล่าวโดยนายแม็คโกลน บิทคอยน์มีปริมาณที่คงที่ทำให้เป็นสื่อกลางที่ดีกว่าทองคำในการออมเงิน ซึ่งเราไม่ทราบปริมาณอย่างแน่ชัด นายแม็คโกลนระบุถึงจำนวนที่อยู่บิทคอยน์ที่มีการใช้งานอย่างต่อเนื่องที่เพิ่มขึ้น และปริมาณบิทคอยน์ที่ไหลเข้าสู่ตลาดแลกเปลี่ยนมากขึ้นเป็นสองปัจจัยหลักซึ่งพิสูจน์ว่ามีความต้องการในบิทคอยน์ที่เติบโตมากขึ้น อีกหนึ่งตัวชี้วัดว่าบิทคอยน์มีการเติบโตมากขึ้นคือ ความผันผวนที่ลดลงเมื่อเทียบกับดัชนี Nasdaq
    ผลการศึกษาของ Cane Island Digital Research ก็เห็นด้วยกับคำคาดการณ์ของ Bloomberg ข้างต้นนี้ โดยนักวิเคราะห์ประมาณการว่า จำนวนบิทคอยน์ที่หมุนเวียนอยู่ในปัจจุบันนั้นยังน้อยกว่าปริมาณการออกเหรียญที่วางแผนไว้ นักวิเคราะห์สรุปว่า นับตั้งแต่ปี 2010 มีปริมาณสินทรัพย์ 4% จากปริมาณทั้งหมดที่หายไปในบล็อกเชนบิทคอยน์ในแต่ละปี “ดังนั้น ปริมาณที่เสนอในปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 13.9 ล้านเหรียญ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ทั้งหมด 18.3 ล้านเหรียญ” จึงเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมปี 2020 ที่จำนวนบิทคอยน์ที่คืนมาไม่ได้นี้สูงกว่าอัตราการผลิตเหรียญใหม่ การเปลี่ยนแปลงสำคัญส่วนใหญ่นั้นเป็นผลมาจากการฮาล์ฟเหรียญเมื่อเดือนพฤษภาคม ซึ่งลดผลตอบแทนของนักขุดเหรียญจาก 12.5 BTC เหลือ 6.25 BTC ต่อบล็อก
    สำหรับคำคาดการณ์ปัจจุบัน กรอบด้านล่างของคู่ BTC/USD ยังคงเหมือนเดิมที่ $9,500 โดยมีแนวรับหลักที่ $10,000 ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญ 65% เชื่อว่า ฝั่งกระทิงจะมีความพยายามอีกครั้งที่จะตัดทะลุแนวต้านคือ $11,000 อย่างไรก็ตาม มีผู้เชี่ยวชาญเพียง 20% เท่านั้นที่เห็นด้วยว่า ราคาจะสามารถขยับถึง $12,000 ในสัปดาห์หน้านี้

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา