บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 2 - 6 พฤศจิกายน 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD ดูเหมือนว่าตลาดได้ตัดสินใจที่จะไม่ให้ความสนใจกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มากเท่าไรนัก นักลงทุนกังวลมากกว่าเกี่ยวกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับคลื่นการระบาดของ COVID-19 รอบที่สองในประเทศเศรษฐกิจทั้งโลกเก่าและโลกใหม่ และธนาคารกลางต่าง ๆ จะดำเนินมาตรการใดบ้างทั้งบนสองฝั่งของมหาสมุทรแอตแลนติก
    สหรัฐฯ ทำสถิติยอดผู้ติดเชื้อใหม่ ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตลาดหุ้นตกต่ำเหมือนอย่างเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ณ ขณะนี้ ทำเนียบขาวยังไม่สั่งมาตรการล็อคดาวน์ใด ๆ เพื่อพยุงเศรษฐกิจไว้ โดยหวังว่าจะมีการใช้วัคซีนกับประชาชนเร็ว ๆ นี้ การตัดสินใจนี้ยังมีผลมาจากสถิติที่เข้มแข็งของอัตราการเติบโต GDP ในไตรมาสที่สามของสหรัฐฯ ที่บวก 33.1% แทนที่ติดลบ 31.4% เมื่อสามเดือนก่อนหน้า
    สำหรับฝั่งยุโรป หลายประเทศรวมถึงเยอรมนีและฝรั่งเศสเริ่มที่จะเพิ่มความเข้มงวดในมาตรการกักตัว นอกจากนี้ แม้ว่าในการประชุมครั้งล่าสุดของธนาคารกลางยุโรปเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม ธนาคารฯ จะไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ชี้แจงไว้อย่างชัดเจนว่าจะมีการใช้มาตรการอย่างจริงจังภายในเวลาหนึ่งเดือนครึ่ง โดยมุ่งไปที่การผ่อนคลายนโยบายทางการเงินและกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศโลกเก่า
    ชัดเจนว่าธนาคารกลางยุโรปตัดสินใจที่จะใช้เวลาในระหว่างนี้เพื่อกำหนดปริมาณที่จำเป็นเพื่อพยุงเศรษฐกิจ เฝ้ารอดูว่าสถานการณ์ไวรัสโคโรนาจะเป็นไปในทิศทางใด และจับตาวิเคราะห์ผลลัพธ์การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
    สถิติที่ประกาศเมื่อวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม แสดงถึงอัตราการเติบโตของ GDP ในยูโรโซนในไตรมาสที่สามจาก -11.8% เป็น +12.7% แต่นี่ยังคงต่ำกว่าตัวเลขของสหรัฐฯ อยู่มาก อีกทั้ง นางคริสติน ลาการ์ด ยังมีมุมมองสถานการณ์ COVID-19 ที่ดูน่าหม่นหมอง ถึงขนาดที่ธนาคารกลางยุโรปยังไม่ตัดโอกาสที่ยูโรโซนจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่สี่ ดังนั้น ธนาคารฯ จะต้องขยายมาตรการ QE ออกไปอีก €500 พันล้านยูโรในเดือนธันวาคม และอาจจะต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเงินยูโร
    โดยรวมแล้ว แนวโน้มการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินในยุโรปดูเป็นไปได้จริงและเป็นการอุดหนุนขนานใหญ่มากกว่าของสหรัฐฯ ในมุมมองของนักลงทุน ส่งผลทำให้ดอลลาร์แข็งค่าในสัปดาห์ที่ผ่านมา 220 จุด และ EUR/USD ปรับลดลงมายังระดับ 1.1640 และปิดตลาดที่ 1.1645
  • GBP/USD ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) พร้อมด้วยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ได้คาดการณ์ว่าราคาคู่นี้จะลดลงมาที่ 1.2860 ภายในสองหรือสามสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม สถานการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วมาก ราคาลงมายังกรอบด้านล่างที่ 1.2880 ตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม และเหตุผลที่เงินปอนด์อ่อนค่าไม่ใช่เพราะความเสี่ยงมี่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับคลื่นการระบาดของไวรัสโคโรนา แต่เป็นเรื่องเบร็กซิตที่ยังคงเป็นประเด็นหลักในกรณีนี้ และสถานการณ์ในเรื่องนี้ก็ไม่ส่งผลดีต่อเงินปอนด์อังกฤษ
    ตลาดหวังว่าข้อตกลงกับยุโรปจะบรรลุผลสำเร็จภายในเดือนธันวาคมของปีนี้ ซึ่งเป็นโอกาสที่เลือนรางราวกับหมอกยามเช้าที่ปกคลุมเหนือกรุงลอนดอน และอย่างที่นายมาร์ค คาร์นีย์ อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า เบร็กซิตที่ไร้ข้อตกลงจะส่งผลให้เกิดภาวะช็อคต่อเศรษฐกิจประเทศ การคาดการณ์ภาวะช็อคนี้ทำให้ราคาปิดตลาดที่ระดับ 1.2950 หลังจากไต่ลงมาทิศใต้ตลอดสัปดาห์และปรับฐานขึ้นมายังกรอบด้านบนของช่องขาลง
  • USD/JPY อย่างที่เราเคยคาดการณ์ไว้ การประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่นเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม เป็นไปอย่างไม่มีข่าวน่าประหลาดใจใด ๆ แม้แต่น้อย ในประเทศที่สกุลเงินเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยและเป็นการป้องกันจากพายุทางการเงิน ทุกอย่างจึงต้องนิ่งสงบและเงียบเชียบ
    สิ่งที่น่าสนใจมากกว่าคือเกมการชักเย่อกันระหว่างดอลลาร์และเงินในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย และในที่นี้ เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ช่วงก่อนการเลือกตั้งและการแพร่ระบาดในสหรัฐฯ ผู้เชี่ยวชาญ 75% สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 90% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนกรอบ D1 จึงชื่นชอบฝั่งเงินเยนว่าน่าจะมีเสถียรภาพมากกว่า และพวกเขาก็ทำนายได้ถูกต้อง ราคาได้ดีดออกจากระดับสำคัญที่ 105.00 และพยายามเป็นครั้งที่สามนับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคมที่จะตัดทะลุระดับสำคัญอีกระดับหนึ่งคือ 104.00 และเป็นอีกครั้งที่ล้มเหลว ดังนั้น หลังจากรีบาวด์ ราคาก็กลับมาสู่ช่วงเดียวกับต้นสัปดาห์และปิดตลาดที่ 104.65
  • คริปโตเคอเรนซี ตลาดเต็มไปด้วยทัศนคติที่ดีหลังจากบริษัทการชำระเงินยักษ์ใหญ่ PayPal ประกาศแผนการเปิดตัวฟิวเจอร์สเพื่อซื้อ ขาย หรือเก็บเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin, Bitcoin Cash, Ethereum และ Litecoin โดยบริษัท  Visa, Mastercard และ American Express ควรเดินตามตัวอย่างนี้ในเวลาไม่กี่เดือนข้างหน้า ตามความเห็นในบทสัมภาษณ์กับ Bloomberg ของนายไมค์ โนโวกราตซ์ ซีอีโอกองทุนเงินดิจิทัล Galaxy Investment
    หลังจากการทะยานขึ้นของบิทคอยน์ในช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม จำนวน “ปลาวาฬ” เงินคริปโตเริ่มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังเห็นได้จากบริการข้อมูล CoinMetrics ซึ่งผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า จำนวนกระเป๋าวอลเล็ตที่บรรจุเงินมากกว่า 1,000 เหรียญขึ้นไปมีจำนวนถึง 2,200 วอลเล็ต ตามอัตรา ณ ปัจจุบันนี้ชี้ว่า เจ้าของบัญชีแต่ละคนมีทรัพย์สินอย่างน้อย 13 ล้านเหรียญดอลลาร์!
    ท่ามกลางคลื่นแง่บวกนี้ ตลาดกระทิงพยายามจะดันราคาขึ้นไปที่ $14,000 เมื่อวันพุธที่ 28 ตุลาคม อย่างไรก็ตาม ราคาหยุดอยู่ที่ $13,830 ความพยายามครั้งถัดมาเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดี แต่ก็ไม่สำเร็จหนักกว่าเดิม ราคาทำระดับสูงสุดที่ $13,615 โดยฝั่งกระทิงยอมแพ้หลังจากล้มเหลวมาสามครั้ง ทำให้ราคา BTC/USD ถอยกลับมาและแข็งตัวอยู่ในโซน $13,300 ภายในช่วงเย็นของวันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม
    หลังจากราคาปรับขึ้นมาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตก็เพิ่มสูงขึ้นจาก $390 พันล้านเหรียญเป็น $410 พันล้านเหรียญ อย่างไรก็ตาม การที่ราคาถอยกลับมาในช่วงปลายสัปดาห์ส่งผลให้มีการปิดตำแหน่งระยะสั้นมากขึ้นและมูลค่ารวมในตลาดก็กลับมาสู่ระดับเริ่มต้นที่ช่วง $388 พันล้านดอลลาร์
    ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ก็กลับมาอยู่จุดเดิมเช่นกันที่ประมาณ 74 ซึ่งเป็นกรอบของไตรมาสสุดท้ายของดัชนี ทั้งนี้ ระดับที่ 74 หมายถึงระดับความโลภเฉลี่ยปานกลาง ซึ่งเป็นช่วงที่การเปิดตำแหน่งขายนั้นยังคงอันตราย แต่ที่ช่วง 75-100 ตามการออกแบบของนักพัฒนาดัชนีถือว่าเป็นระดับที่ “มีความโลภอย่างรุนแรง” ซึ่งเป็นช่วงที่ราคา BTC/USD มีแรงซื้อมากเกินไปและอาจมีการปรับฐานเกิดขึ้น

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ในขณะที่ นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ให้สัญญาณชัดเจนว่าธนาคารฯ พร้อมที่จะใช้มาตรการผ่อนคลายนโยบายทางการเงินตั้งแต่เดือนหน้า นายโดนัลด์ ทรัมป์ เองก็พูดถึงการสนับสนุนเศรษฐกิจสหรัฐฯ แต่ในทางฝั่งสหรัฐฯ นั้นจะมีการเลือกตั้งในวันอังคารที่ 3 พฤศจิกายน และเรื่องราวทั้งหมดของนายทรัมป์ รวมถึงคู่แข่งของเขา นายโจ ไบเดน ซึ่งอาจต้องย้อนไปถึงการสื่อสารช่วงก่อนการเลือกตั้ง จึงอาจจะยากที่จะทำนายว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ต่างจากความแน่ชัดในยุโรป
    การทำนายสถานการณ์เกี่ยวกับโรคระบาดก็ยากเช่นกัน ในตอนต้นของบทรีวิวนี้กล่าวไว้แล้วว่า รัฐบาลในทำเนียบขาวชุดปัจจุบันกำลังรอหวังพึ่งวัคซีนและทางออกทางการแพทย์เพื่อแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม สถานการณ์อาจรุนแรงมากขึ้นจนกว่าจะถึงเวลานั้น และดัชนีตลาดหุ้นอาจทรุดตัวลงเหมือนกับที่เกิดขึ้นเมื่อช่วงฤดูใบไม้ผลิ
    ตอนที่ตลาดหุ้นทรุดตัว ธนาคารเฟดสรัฐฯ เริ่มอุดหนุนเงินด้วยการพิมพ์ธนบัตร ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ทำให้ดอลลาร์อ่อนค่าลงและคู่ EUR/USD ขยับขึ้นมามากกว่า 1,300 จุด ณ ตอนนี้ อียูกำลังแซงหน้าสหรัฐฯ ในเรื่องมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณและการบังคับมาตรการกักตัว อันส่งผลให้เกิดแรงขายเงินยูโรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ตาม ชัดเจนว่าดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น 220 จุดและที่เคยอ่อนค่าลง 1,300 จุดเมื่อเดือนมีนาคมนั้นเป็นสองสิ่งที่เทียบกันไม่ได้ ในสัปดาห์หน้าจะมีการเลือกตั้งสหรัฐฯ เกิดขึ้น และในกรณีที่ นายโจ ไบเดน ได้รับชัยชนะ และหุ้นบริษัทอเมริกาปรับตัวขึ้นมา พร้อมกับสถานการณ์ที่ดูสดใสมากขึ้นกับการต่อสู้กับโรค COVID-19 เงินยูโรอาจฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ เรายังควรให้ความสนใจกับการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในวันศุกร์ที่ 6 พฤศจิกายน และแม้ว่าจะไม่มีการตัดสินใจใด ๆ เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีการให้ความเห็นของธนาคารเฟดเกี่ยวกับนโยบายทางการเงิน ซึ่งในตอนนั้นจะเป็นการแถลงความเห็นหลังจากที่ได้ประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีแล้ว
    แน่นอนว่าเหมือนเช่นเคย สถิติจำนวนตำแหน่งงานใหม่นอกภาคการเกษตรของสหรัฐฯ (NFP) จะมีการประกาศในวันศุกร์แรกของเดือน แต่เนื่องด้วยเหตุการณ์สำคัญที่กล่าวข้างต้น จึงไม่น่าจะมีผลกระทบสำคัญใด ๆ ต่อราคา
    ในระหว่างนี้ สำหรับคำคาดการณ์ของสัปดาห์นี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) กำลังมองลงทิศใต้ แนวรับใกล้ที่สุดคือระดับต่ำสุดที่ 1.1610 ของวันที่ 25 กันยายน โดยมีเป้าหมายถัดไปที่โซน 1.1500 ซึ่งได้รับการสนับสนุนโดยการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 อินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% และออสซิลเลเตอร์ 75% บนกรอบ H4 และ D1 แต่ออสซิลเลเตอร์ 25% ที่เหลือให้สัญญาณชัดเจนแล้วว่า ราคาอยู่ในโซนที่มีแรงขายมากเกินไปและจะมีการปรับฐานของราคาเกิดขึ้น โดยโซนที่น่าจะรีบาวด์มากที่สุดคือ 1.1600 เป้าหมายคือ 1.1700, 1.1750, 1.1830 และ 1.1880
  • GBP/USD ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากไม่ตัดโอกาสที่ ธนาคารแห่งชาติอังกฤษอาจประกาศมาตรการถัดไปเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในการประชุมที่จะถึงในวันพฤหัสบดีที่ 5 พฤศจิกายน รายการมาตรการ ได้แก่ การเพิ่มปริมาณการซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็น £850 พันล้านปอนด์ และลดอัตราดอกเบี้ยซึ่งอยู่ที่ 0.1% ณ ปัจจุบัน แต่การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เงินปอนด์อังกฤษตกอยู่ภายใต้แรงกดดันจนกว่าจะถึงการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ แต่ทั้งนี้ เรายังไม่ควรลืมเกี่ยวกับปัญหาเบร็กซิตที่ยังไม่สะสาง ซึ่งเป็นปัจจัยกดให้คู่ GBP/USD ขยับลดลง ดังนี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (60%) เข้าข้างฝั่งตลาดหมีสำหรับคำทำนายในเดือนพฤศจิกายนนี้ คาดว่าราคาจะขยับลงมาในตอนแรกที่ระดับแนวรับ 1.2860 และจากนั้นลงมาอีก 100 จุด เป้าหมายถัดไปคือระดับต่ำสุดของวันที่ 23 กันยายนที่ 1.26575 การวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 ก็ให้ภาพเดียวกัน สำหรับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคของทั้งสองกรอบเวลา H4 และ D1 ก็ให้สัญญาณสีแดง เช่นกัน
    ท่าทีที่ตรงกันข้ามเป็นของนักวิเคราะห์จำนวน 40% ทั้งนี้ เมื่อปรับมาเป็นการวิเคราะห์จนถึงสิ้นปี จำนวนผู้สนับสนุนตลาดกระทิงเพิ่มขึ้นเป็น 70% ซึ่งชัดเจนว่า ตลาดยังคงคาดหวังว่าจะมีการบรรลุและลงนามกันในข้อตกลงเบร็กซิตกับอียู โดยมีแนวต้านที่โซน 1.3000 ตามมาด้วยระดับต่าง ๆ ที่ 1.3080, 1.3175 และ 1.3265

  • USD/JPY ขณะนี้ คู่นี้อยู่ตรงกลางระหว่างระดับที่สำคัญมากสองระดับ คือ 104.00 และ 105.00 และสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปขึ้นอยู่กับความต้องการในความเสี่ยงของนักลงทุน และสิ่งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าอะไรจะเกิดขึ้นในสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้
    ผู้เชี่ยวชาญ 65% สนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์ 85% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 เชื่อว่า ราคาจะพยายามตัดทะลุแนวรับที่ 104.00 อีกครั้ง แต่มีเพียง 30% ที่มั่นใจว่าราคาจะสามารถขยับถึงโซน 103.00 ได้สำเร็จ
    การวิเคราะห์กราฟเดียวกันสำหรับช่วงครึ่งแรกของเดือนพฤศจิกายนให้ภาพการเคลื่อนที่ด้านข้างที่บริเวณ 104.00-105.00 ในกรณีนี้ หากราคาตัดทะลุกรอบด้านบนได้สำเร็จ ราคาจะมีโอกาสยืนเหนือกรอบที่ช่วง 105.00-105.80 และอาจไต่ขึ้นไปถึงระดับ 106.10 อย่างไรก็ตาม โอกาสที่จะเป็นไปได้ตอนนี้คาดการณ์ที่เพียง 15%
  • คริปโตเคอเรนซี มีการหารือหลายครั้งว่าการเปลี่ยนรัฐบาลในทำเนียบขาวนั้นสามารถส่งผลกระทบต่อตลาดคริปโตเคอเรนซีได้อย่างไรบ้าง การเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐฯ กำลังจะเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และจะต้องไม่ลืมที่จะกล่าวถึงเหตุการณ์เว็บไซต์รณรงค์หาเสียงเลือกตั้้งของ โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกโจมตีเมื่อวันพุธที่ 28 ตุลาคมโดยเหล่าแฮ็คเกอร์สาวกเงิน Monero โดยปรากฏเป็นภาพโฆษณาเหรียญสกุลนี้และแถลงการณ์โดยผู้โจมตีว่ารัฐบาลทรัมป์นั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา และตัวนายทรัมป์เองมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่ผิดกฎหมายและร่วมมือกับต่างชาติเพื่อแทรกแซงผลการเลือกตั้งที่จะมาถึง โดยรายละเอียดเหล่านี้ปรากฏในหน้า “เกี่ยวกับฉัน” ของเว็บไซต์
    นอกเหนือไปจากผลการเลือกตั้งแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ที่จะส่งผลต่อความไม่แน่นอนของบิทคอยน์ตามรายงานจากนักวิเคราะห์ Glasnode ได้แก่ ตลาดหุ้นและปัจจัยภายนอกอื่น ๆ นั้นแทบจะหมดอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยน BTC ซึ่งขณะนี้ราคาเหรียญกำลังโฟกัสอยู่กับสภาพแวดล้อมภายในเป็นหลัก และนักลงทุนก็พยายามที่จะทำความเข้าใจนโยบายใหม่ ในขณะเดียวกัน Glassnode เชื่อว่า สินทรัพย์นี้มีโอกาสที่จะฝ่าอุปสรรคใหม่ในอนาคต
    หลัง นายไมเคิล เซย์เลอร์ ซีอีโอจาก MicroStrategy ผู้เคยทำนายแนวโน้มขาลงอย่างฉับพลันของเงินคริปโตไว้ในอดีต ตอนนี้เขากล่าวว่า เขาพร้อมที่จะถือเงินบิทคอยน์อย่างน้อย 100 ปี บริษัทที่นำโดยนายเซย์เลอร์ได้ลงทุนเป็นเงิน $425 ล้านเหรียญดอลลาร์ในบิทคอยน์ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เขาได้พิจารณาทางเลือกในการบริหารจัดการเงินในช่วงที่เกิดความไ่มแน่นอนทางเศรษฐกิจในโลก MicroStrategy ยังสรุปด้วยว่าบิทคอยน์เป็นสินทรัพย์สะสมมูลค่าที่ดีที่สุด เขามั่นใจว่า แม้แต่ทองคำเองก็ไม่สามารถเปรียบเทียบกับเงินคริปโตนี้ได้ ในความเห็นของเขา คนที่เก็บเงินไว้ $100 ล้านดอลลาร์เป็นเงินธรรมจะเสียมูลค่าของเงิน 99% ภายใน 100 ปี และการลงทุนในทองคำจะนำมาซึ่งการขาดทุน 85% อย่างน้อยที่สุด
    ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารเพื่อการลงทุนอเมริกัน JPMorgan ก็ชื่นชอบบิทคอยน์เช่นกัน พวกเขามองว่า BTC มีผลงานที่ดีกว่าทองคำในฐานะสกุลเงินทางเลือก และมีโอกาสมากกว่าที่จะเติบโตขึ้นต่อไป จากรายงานฉบับใหม่ระบุว่า มูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตนั้นยังไม่มากพอ เพราะเงินดิจิทัลนั้นเป็นทางเลือกของคนยุคใหม่เป็นหลัก คนยุคที่แก่กว่ายังคงเลือกสินทรัพย์ที่จับต้องได้มากกว่า โดยเฉพาะทองคำ อย่างไรก็ตาม บิทคอยน์มีศักยภาพดีมากที่จะเติบโตในระยะยาว เพราะคนยุคปัจจุบันจะกลายเป็น “องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในแวดวงการลงทุน” ในระยะยาว
    JPMorgan คาดการณ์ว่า ตลาดทองคำรวมถึงกองทุน ETF ที่หนุนตลาดทองคำมีมูลค่ารวม $2.6 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งบิทคอยน์จะต้องทำมูลค่าเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่ $13,000 ขึ้นไปอีก 10 เท่าจึงจะเท่ากับมูลค่ารวมในตลาดทองคำในแง่นี้
    ภาพรวมที่เป็นบวกล่าสุดนั้นยืนยันโดยพี่น้องผู้ก่อตั้งตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโต Gemini โดยระบุว่า คู่ BTC/USD จะขยับถึง $500,000 ไม่ช้าก็เร็ว “คำถามนั้นไม่ใช่ว่าบิทคอยน์จะมีมูลค่า $500,000 หรือไม่ แต่คำถามคือว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นรวดเร็วมากแค่ไหน จริงๆ แล้ว แม้แต่การประเมินนี้ก็ยังถือว่าต่ำไปมากสำหรับผม จริง ๆ เกมนั้นยังไม่เริ่มขึ้น” กล่าวโดย นายคาเมรอน วิงเคิลโวส
    หากเรามาดูบทวิเคราะห์ในอนาคตอันใกล้จะเห็นว่า นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (60%) เชื่อว่า BTC/USD จะพยายามที่จะโจมตีระดับแนวต้านที่ $14,000 แต่มีเพียงนักวิเคราะห์ 25% เท่านั้นที่กล่าวว่า การโจมตีดังกล่าวจะเป็นไปอย่างสำเร็จ และราคาจะสามารถยืนเหนือระดับที่โซน $15,000 ภายในสิ้นปีนี้ ตอนนี้คาดการณ์ความเป็นไปได้ที่ราคาจะไต่ขึ้นไปถึง $16,000 เพียง 10% เท่านั้น แต่โอกาสที่ราคาจะกลับมายังระดับ $12,000 นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 40%

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา