บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 22 - 26 มีนาคม 2021

อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD หลังจากการประชุมของคณะกรรมการนโยบายตลาดเสรี (FOMC) มีผลออกมาชัดเจนว่า ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ไม่มีแผนจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงอย่างน้อยปี 2023 ธนาคารเฟดจะไม่เปลี่ยนแปลงเงื่อนไขโครงการผ่อนคลายเชิงนโยบาย (QE) อื่นใด ตราบใดที่ระดับเงินเฟ้อในสหรัฐฯ สูงขึ้น ภาคการผลิตฟื้นตัวและดึงภาคบริการขึ้นไปด้วย ร่างกฎหมายที่ลงนามโดยประธานาธิบดี โจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ว่าด้วยมาตรการมูลค่า $1.9 ล้านล้านดอลลาร์ค่อนข้างเพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะนี้
    ท่าทีของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ที่ดูถึงพอใจ ส่งผลต่อทั้งตลาดกระทิงและตลาดหมีของคู่ EUR/USD ในระดับหนึ่ง ส่งผลให้ราคาคู่นี้ขยับในช่องแคบ ๆ ตลอดทั้งสัปดาห์เพียง 110 จุดเท่านั้นที่บริเวณ 1.1875-1.1985 และก็ปิดที่ระดับ 1.1900
  • GBP/USD อย่างที่ระบุไว้ข้างต้น ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ปฏิเสธที่จะปรับนโยบายทางการเงิน ฝ่ายบริหารของธนาคารแห่งชาติอังกฤษก็ปฏิเสธอย่างเป็นเอกฉันท์ที่จะดำเนินการในลักษณะเดียวกันในการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม จากคำแถลงของธนาคารกลางฯ ระบุว่า ธนาคาร “ไม่วางแผนจะใช้นโยบายการเงินแบบตึงตัวอย่างน้อยจนกว่าจะมีหลักฐานชัดเจนของการบรรลุเป้าหมายระดับเงินเฟ้อ 2%” ดังนั้น เราจึงไม่คาดหมายว่าจะได้เห็นการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสำหรับเงินปอนด์
    ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจที่เหมือนกันของธนาคารทั้งสองแห่งนี้ทำให้ GBP/USD ขยับในทิศทางด้านข้าง เดิมในครั้งที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญจำนวนหนึ่งในสามโหวตให้กับแนวโน้มการเติบโตของคู่นี้ อีกหนึ่งในสามโหวตแนวโน้มขาลง และที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง โดยประกาศว่าราคาน่าจะขยับในทิศทางด้านข้าง โดยจำกัดแนวต้านไว้ที่ 1.4000 และแนวรับที่ขาลงที่ 1.3775 ปรากฏว่าคำทำนายนี้ถูกต้องเกือบสมบูรณ์ ความผันผวนของคู่นี้จำกัดอยู่ในช่วง 1.3800-1.4000 โดยปิดตลาดท้ายที่ 1.3865
  • USD/JPY ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็มีท่าทีร่วมเหมือนกับธนาคารเฟดสหรัฐฯ และธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ธนาคารกลางญี่ปุ่นตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยติดลบที่ระดับเดิมคือ -0.1% เมื่อวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม ในขณะเดียวกัน ธนาคารฯ จะยังคงมาตรการซื้อคืนพันธบัตรระยะยาวเพื่อคงผลตอบแทนพันธบัตรรอบ 10 ปีให้ใกล้กับระดับศูนย์ คำแถลงของผู้บริหารธนาคารกลางฯ เกี่ยวกับแนวโน้มนโยบายทางการเงินก็มีความสอดคล้องกับคำแถลงของธนาคารกลางสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร โดยระบุว่า “เราพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงตามความจำเป็น” โดยไม่มีการระบุถึงหลักเกณฑ์ “ความจำเป็น” ว่าคืออะไร
    ผลลัพธ์ของสัปดาห์ที่ “เฉื่อยชา” เช่นนี้ทำให้คู่ USD/JPY แข็งตัวอยู่ในกรอบที่แคบยิ่งกว่าคู่ GBP/USD และ EUR/USD โดยราคาขยับอยู่ในช่วง 108.60-109.35 เป็นเวลาตลอดห้าวัน และปิดท้ายตลาดที่ 108.87
  • คริปโตเคอเรนซี บิทคอยน์ทำระดับสูงสุดใหม่อีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยขึ้นถึง $61,670 ตามมาด้วยการย่อลงมาอย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตาม ราคาบิทคอยน์ยังถือว่าอยู่ในช่วงขาขึ้น โดยมีแนวรับด้านล่างอยู่ในโซน  $53,300-53,900 การปรับฐานนี้ดึงดูดนักลงทุนที่รอโอกาสใหม่สำหรับการเข้าซื้อ และคู่ BTC/USD ก็ซื้อขายกันอยู่ที่บริเวณ $58,500 ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 19 มีนาคม
    หนึ่งในเหตุผลที่บิทคอยน์ยังไม่สามารถยืนเหนือระดับ $60,000 ได้สำเร็จ ตามความเห็นของ นิโคเลาส์ ปานิเกิร์ตโซกลู นักยุทธศาสตร์ของ JPMorgan มองว่าเป็นการลงทุนจากสถาบันที่ลดลง โดยปริมาณการลงทุนจากนักลงทุนรายย่อยสูงกว่านักลงทุนรายสถาบันในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 ซึ่งสถาบันลดปริมาณการเข้าซื้อเงินคริปโต ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยซื้อเหรียญไปกว่า 187,000 BTC ส่วนสถาบันซื้อที่ประมาณ 172,684 BTC
    จากการคำนวณของบริษัทการลงทุน Compound Capital Advisors บิทคอยน์ได้กลายเป็นหนึ่งในการลงทุนที่ทำกำไรได้มากที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา และแซงหน้าสินทรัพย์ทุกประเภทอย่างน้อย 10 เท่า และให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรายปีถึง 230% ดัชนี Nasdaq 100 มาเป็นอันดับสองที่ผลตอบแทนรายปีที่ 20% ตามมาด้วยหุ้นสหรัฐฯ ที่มูลค่ารวมในตลาดมากกว่า $10 พันล้าน และอัตราผลตอบแทนรายปีที่ 14% นอกจากนี้ งานวิจัยยังชี้ว่า ราคาทองคำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่ $1.5% ต่อปี มาตั้งแต่ปี 2011 และ 5 ปีจากทั้งหมด 11 ปี นั้นเป็นช่วงที่ขาดทุนในสินทรัพย์ชนิดนี้
    ตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา ผลกำไรรวมของ BTC คิดเป็นอัตรากว่า 20 ล้านเปอร์เซ็นต์ ปี 2013 คือปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดสำหรับบิทคอยน์ เพราะราคาขึ้นถึง 5507% นอกจากนี้ สิ่งสำคัญคือการตระหนักว่า BTC แสดงถึงการขาดทุนเพียงสองปีในประวัติศาสตร์บิทคอยน์ โดยราคาดิ่งลงมา 58% ในปี 2014 และ 73% ในปี 2018
    ตัวเลขทั้งหมดเหล่านี้อาจดูน่าประทับใจสำหรับบางคน แต่ก็ดูน่ากลัวสำหรับหลาย ๆ คน เช่น ประธานบริษัทชำระเงินยักษ์ใหญ่อย่าง Visa เห็นด้วยว่า คริปโตเคอเรนซีควรเป็นที่ใช้งานอย่างแพร่หลายในอีก 5 ปีข้างหน้า นอกจากนี้ JPMorgan ธนาคารอเมริกันขนาดใหญ่ที่สุดอย่าง Morgan Stanley ก็แสดงถึงความภักดีต่อสินทรัพย์ดิจิทัล โดยให้สัญญาว่าอำนวยความสะดวกในการเป็นเจ้าของบิทคอยน์สำหรับลูกค้ารายใหญ่
    แต่ธนาคาร Bank of America เผยแพร่รายงานเรื่อง "Little Dirty Secrets of Bitcoin" เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ซึ่งประกาศว่าเหรียญนี้คือสินทรัพย์เก็งกำไรเท่านั้น “หากราคาไม่ขยับขึ้น ก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องเป็นเจ้าของเหรียญคริปโตนี้” เขียนไว้ในรายงานดังกล่าว “สินทรัพย์นี้ใช้งานจริงไม่ได้และไม่สามารถเป็นที่เก็บมูลค่า หรือสื่อกลางในการชำระเงิน และ 95% ของบิทคอยน์เป็นของเจ้าของวอลเล็ตเพียง 2.4% เท่านั้น” นักธนาคารยังอ้างถึงผลกระทบในทางลบของ BTC ต่อสิ่งแวดล้อมอันเนื่องมาจากต้นทุนด้านพลังงานที่สูงในการขุดเหรียญ รวมถึงความช้าในการทำธุรกรรม แต่นักเทรดก็คงพอเดาได้ว่าสิ่งนี้ไม่ทำให้นักลงทุนกังวลแต่อย่างใด แต่สิ่งที่น่ากังวลสำหรับพวกเขาคือแนวโน้มการเสียส่วนแบ่งขนาดใหญ่ของรายได้จากการพัฒนาขึ้นของตลาดเงินคริปโต
    ทั้งนี้ มูลค่ารวมของตลาดเงินคริปโตในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นจาก $1756 พันล้าน เป็น $1805 พันล้านดอลลาร์ แต่มูลค่ารวมยังไม่ทะลุระดับจิตวิทยาที่ $2 ล้านล้านดอลลาร์ โดยตลาดทำระดับสูงสุดที่ $1851 เมื่อวันที่ 14 มีนาคม หลังจากนั้นก็ลดลงมาเล็กน้อย ในส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed แทบไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ตลอดทั้งสัปดาห์: จากระดับ 71 เมื่อเจ็ดวันก่อนหน้าลงมาเป็น 70

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD โดยทั่วไป ทั้งผู้เชี่ยวชาญและอินดิเคเตอร์อยู่ในอารมณ์ตลาดหมี แม้ว่าธนาคารเฟดสหรัฐฯ จะปฏิเสธที่จะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจนกว่าจะถึงปี 2023 นักลงทุนยังคงมีท่าทีตามสถานการณ์เศรษฐกิจที่ดูสดใส การฉีดวัคซีนขนานใหญ่และการจ่ายเงินโดยตรงให้กับชาวอเมริกันน่าจะสนับสนุนเงินดอลลาร์ แม้ว่าส่วนหนึ่งของเงิน $380 พันล้านดอลลาร์จะถูกนำไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงกว่า
    นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) คาดว่า ดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในสัปดาห์นี้ พวกเขามองว่า EUR/USD น่าจะทดสอบระดับแนวรับ 1.1835 อีกครั้ง คำทำนายตลาดหมีนี้ยังได้รับการสนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์ 65% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 85% บนกรอบเวลา H4 และ D1 เดิมจากมุมมองการวิเคราะห์ทางเทคนิค ระดับแนวรับที่นี่คือเส้น SMA 200 วันที่ 1.1825 ในกรณีที่ราคาตัดเส้นดังกล่าว เป้าหมายถัดไปจะอยู่ที่ 1.1800 และ 1.1745 โดยเป้าหมายสุดท้ายคือระดับต่ำสุดของเดือนกันยายน-พฤศจิกายน ปี 2020 ที่บริเวณ 1.1600
    สำหรับตลาดกระทิง แนวต้านในที่นี้ ได้แก่ 1.1980, 1.2025, 1.2060 และ 1.2100 และหากคำทำนายตลาดกระทิงได้รับการสนับสนุนจากผู้เชี่ยวชาญ 35% เท่านั้นในขณะนี้ เมื่อปรับไปเป็นการวิเคราะห์รอบเดือนเมษายน เราจะได้ภาพที่สะท้อนกลับกัน ซึ่งในที่นี้มีผู้เชี่ยวชาญแล้ว 65% คนที่โหวตว่าราคาน่าจะเติบโตขึ้น และมีเพียง 35% ที่โหวตให้กับขาลง
    การวิเคราะห์กราฟก็ชี้ให้ว่าราคาจะขยับลงเช่นกัน แต่จะไม่ดิ่งลงโดยทันที ในตอนต้น การวิเคราะห์ชี้ว่าราคาจะสู้อยู่ที่โซน 1.1880-1.1900 แล้วจะขยับขึ้นไปยังระดับ 1.1980 และจากนั้นจึงจะขยับลงทิศใต้
    สำหรับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์นี้ นายเจอโรม พาวเวลล์ จะกล่าวถ้อยแถลงหลายครั้งในช่วงวันที่ 22-24 มีนาคม อย่างไรก็ตาม เขาไม่น่าจะพูดอะไรใหม่ ๆ ทุกสิ่งที่สำคัญนั้นได้พูดไปแล้วในสัปดาห์ที่แล้ว เราจึงขอแนะนำให้คุณให้ความสนใจกับสถิติกิจกรรมทางธุรกิจของ Markit ในเยอรมนีและยูโรโซน ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 24 มีนาคม และสำหรับสถิติทางด้านอเมริกา ให้จับตาดูดัชนีคำสั่งซื้อสินค้าคงทนในวันเดียวกัน และสถิติ GDP รายปีของสหรัฐฯ ในวันถัดมา
  • GBP/USD นายแอนดริว ไบเลย์ ประธานธนาคารแห่งชาติอังกฤษมีกำหนดจะกล่าวถ้อยแถลงในวันที่ 23 และ 25 มีนาคม และเช่นเดียวกันกับในกรณีของนายเจอโรม พาวเวลล์ ไม่น่าจะมีเรื่องน่าประหลาดใจจากถ้อยแถลงของนายแอนดริวเช่นกัน สิ่งที่น่าสนใจอาจจะเป็นข้อมูลตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักรในวันที่ 23 มีนาคม และสถิติกิจกรรมทางธุรกิจและตลาดผู้บริโภคของสหราชอาณาจักรในวันที่ 25 มีนาคม
    ชัดเจนว่าอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคของคู่ GBP/USD บนกรอบ H4 หันไปทางทิศใต้ แต่นี่เป็นการสะท้อนจากเทรนด์ของสองวันล่าสุดในสัปดาห์ที่แล้วเท่านั้น ในส่วนอินดิเคเตอร์ในกรอบ D1 เห็นแย้งกันอย่างสิ้นเชิง เราเริ่มเห็นเทรนด์ด้านข้างรอบสองสัปดาห์ได้ชัดเจนขึ้น ส่วนการวิเคราะห์ทั้งสองกรอบเวลายังชี้ให้เห็นถึงเทรนด์ด้านข้างในกรอบการเทรดเดียวกันกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 1.3775-1.4000 โดยยังไม่มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนในส่วนการวิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญ ซึ่ง 45% เห็นด้วยกับฝั่งกระทิง และ 55% โหวตให้กับตลาดหมี เป้าหมายคือ 1.4240 และ 1.3600 ตามลำดับ
  • USD/JPY ยิ่งดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จะยิ่งเห็นการเติบโตของคู่นี้ตามที่ปรากฏในการวิเคราะห์กราฟของทั้งสองกรอบเวลา H4 และ D1 ส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ 85% และออสซิลเลเตอร์ 65% บนกรอบ D1 เห็นด้วยกับแนวโน้มนี้เช่นกัน ส่วนออสซิลเลเตอร์ที่เหลือนั้นถ้าไม่อยู่ในโซน overbought ก็ให้สัญญาณสีแดงแล้ว
    สำหรับผู้เชี่ยวชาญ 55% คาดการณ์การปรับฐานราคาลงทิศใต้ แม้ว่าพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นแค่เพียงระยะสั้น แต่เมื่อปรับเป็นการวิเคราะห์รายเดือนและรายไตรมาส จำนวนผู้สนับสนุนแนวโน้มขาลงของคู่นี้เพิ่มเป็น 75%
    เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของตลาดกระทิง คือ 109.50-110.00 แนวรับในกรณีที่คู่นี้ขยับลงมาคือ 108.35, 106.65, 106.10 และ 105.70
  • คริปโตเคอเรนซี การต่อสู้ระหว่างผู้ที่เชื่อในอนาคตอันสดใสของคริปโตเคอเรนซีและผู้ที่เชื่อว่าการทำลายล้างจะเกิดขึ้นยังคงดุเดือดต่อไป เห็นได้ชัดเจนในหมู่นักลงทุนสถาบันรายใหญ่ และความเห็นของพวกเขาก็ขึ้นอยู่กับความเห็นของหน่วยงานทางการที่กำกับดูแลเป็นหลัก
    ท่าทีของหน่วยงานในแต่ละประเทศมีความแตกต่างกัน เช่น ทางการอินเดียมีกฎหมายแทบจะพร้อมที่จะสั่งห้ามการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี และเสนอให้มีการรับผิดชอบทางอาญาสำหรับผู้ที่ขุดเหรียญและนักเทรด ด้าน นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในทางกลับกันก็ไม่ได้ปฏิเสธการผสมผสานระหว่างการเงินดั้งเดิมและคริปโตเคอเรนซี แม้ว่าตัวเขาเองจริง ๆ แล้วตั้งความหวังเรื่องสกุลเงินดิจิทัลไว้กับธนาคารกลางอเมริกัน (CDBC) มากกว่าก็ตาม
    ทั้งนี้ รัฐบาลประเทศขนาดใหญ่หลายประเทศกำลังพิจารณาความเป็นไปได้ในการออกสกุลเงินดิจิทัลเป็นของตนเอง และมีแนวโน้มที่พวกเขาจะไม่ต้องการให้มีคู่แข่งอย่างบิทคอยน์และอัลท์คอยน์สกุลหลักแต่อย่างใด จึงมีความเป็นไปได้ที่เราจะได้เห็นการต่อสู้ที่แท้จริงระหว่างภาครัฐและเอกชนในอนาคตอันใกล้ ไม่ใช่แค่ระดับประเทศเท่านั้นแต่คือในเวทีระดับระหว่างประเทศ
    ในระหว่างนี้ ธนาคารกลางยังคงเดินหน้าพิมพ์ธนบัตรที่ไม่มั่นคงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของตนในการรับมือกับภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 และตามความเห็นของ นายแม็กซ์ ไคเซอร์ ผู้จัดรายการทีวีและผู้ก่อตั้งบริษัทการลงทุน Heisenberg Capita สิ่งนี้จะนำไปสู่ “สภาวะตกต่ำจากระดับเงินเฟ้อสูงเกินไป” ของค่าเงินประเทศและทำให้ราคาบิทคอยน์พุ่งขึ้นไปที่ $220,000 ตั้งแต่ปีนี้ นอกจากนี้ นายไคเซอร์ยังเชื่อว่าข้อดีของบิทคอยน์ในการชำระเงินรอบโลกจะทำให้ธนาคารไม่มีประโยชน์อีกต่อไป เขากล่าวว่า “$5 ล้านล้านดอลลาร์ต่อวันในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศอาจถูกแทนที่โดยบิทคอยน์ได้อย่างสิ้นเชิง”
    ในขณะนี้ นักวิเคราะห์ที่ JPMorgan ให้ความสนใจหลักไปที่แนวโน้มการเติบโตของการลงทุนจากรายย่อยที่มาจากการจ่ายเงินประชาชนชาวสหรัฐฯ ในส่วนหนึ่งของโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตามผลวิจัยของ Mizuho Securities เงินจำนวน $380 ดอลลาร์ที่ชาวอเมริกันจะได้รับในรูปแบบเงินช่วยเหลือ 10% ของเงินส่วนนี้จะถูกนำไปซื้อสินทรัพย์สองประเภท ได้แก่ หุ้นและบิทคอยน์ การศึกษานี้พบว่าสองในห้าของชาวอเมริกันที่คาดว่าจะได้รับเช็คในช่วงไม่กี่วันข้างหน้าตั้งใจจะนำเงินส่วนหนึ่งไปลงทุน ด้าน นายแดน โดเลฟ ผู้อำนวยการบริหารของ Mizuho Securities ชี้ว่า บิทคอยน์จะคิดเป็นสัดส่วน 60% ของเงินลงทุนทั้งหมด ซึ่งอาจช่วยเพิ่มมูลค่ารวมในตลาดคริปโตประมาณ 3%
    แน่นอนว่า 3% เป็นตัวเลขไม่มาก นี่จึงอาจเป็นเหตุผลว่าทำไมมีผู้เชี่ยวชาญเพียง 35% ที่เชื่อว่า บิทคอยน์จะสามารถยืนเหนือระดับ $60,000 ได้สำเร็จภายในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลินี้และขยับขึ้นไปถึง $75,000 ทางด้านนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (65%) ทำนายว่า บิทคอยน์จะขยับในกรอบด้านข้างที่ $50,000-60,000

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา