บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 24 - 28 พฤษภาคม 2021

อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว::

  • EUR/USD "สมาชิกคณะกรรมาธิการบางท่านอาจมองว่าเป็นเรื่องเหมาะสมที่จะเริ่มหารือเกี่ยวกับการจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการเงิน หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยับไปตามเป้าหมายของธนาคารเฟดได้อย่างรวดเร็ว” อ้างอิงจากรายงานการประชุมของคณะกรรมาธิการนโยบายทางการเงินของสหรัฐฯ (FOMC) ซึ่งประกาศเมื่อวันพุธที่ 19 พฤษภาคม คำเหล่านี้นั้นยิ่งกว่ากำกวม แต่ข่าวนี้เองส่งผลให้ฝั่งตลาดหมีพยายามทำให้ดอลลาร์แข็งค่า และกดราคา EUR/USD ลงต่อ ราคาคู่นี้จึงดีดกลับจากระดับสูงสุดในรอบแปดสัปดาห์ที่ 1.2245 โดยลดลงมา 85 จุด มาที่แนวรับ 1.2160
    อย่างไรก็ตาม ตลาดก็ตระหนักอย่างรวดเร็วว่า จริง ๆ แล้ว คำพูดเหล่านี้ไม่ได้มีความหมายอะไรมากในความเป็นจริง และแม้ว่าธนาคารเฟดสหรัฐฯ จะเริ่มหารือเกี่ยวกับการจำกัดมาตรการ QE ในเดือนมิถุนายนนี้ และปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย มันก็ยังไม่คุ้มค่าที่จะรอดูท่าทีอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็นนี้แต่อย่างใด “การตรัสรู้” นี้ทำให้ฝั่งตลาดกระทิงดันราคากลับขึ้นมายังระดับ 1.2240 แต่ก็ล้มเหลวที่จะยืนเหนือระดับดังกล่าวอีกครั้ง
    เมื่อวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รอบ 10 ปี เพิ่มขึ้นจาก 1.61% เป็น 1.63% และดัชนีหุ้นของสหรัฐฯ ลดลง ประกอบกับผลดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของเยอรมนีที่อ่อนแอ ทำให้ราคา EUR/USD กลับมายังระดับแนวรับที่ 1.2160 อีกครั้ง โดยปิดตลาดท้ายสัปดาห์ไม่ห่างจากระดับดังกล่าวที่ 1.2180
  • GBP/USD คู่เงินปอนด์อังกฤษผันผวนตามความต้องการในความเสี่ยงของนักลงทุน และอัตราแลกเปลี่ยน GBP/USD ก็ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยเดียวกันกับของคู่ก่อนหน้านี้ ในขณะเดียวกันนั้น เงินปอนด์ไม่ได้แค่ต้องการจะทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบปี แต่ยังเป็นระดับสูงสุดในรอบ 36 เดือนที่ 1.4241 และเกือบจะไต่ถึงเป้าหมายดังกล่าว
    สำหรับการคาดการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ชี้เป้าไว้ที่กรอบ 1.4100-1.4200 และการคาดการณ์นี้ปรากฏว่าถูกต้องเกือบสมบูรณ์แบบ
    เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้รับแรงกระตุ้นจากสถิติในทางบวกจากตลาดแรงงานของสหราชอาณาจักร และราคาคู่นี้ไต่ขึ้นมาจาก 1.4075 เป็น 1.4220 จากนั้นหลังจากย่อตัว ราคาก็ดีดขึ้นไปอีกเล็กน้อยที่ช่วง 1.4100-1.4232
    เมื่อวันศุกร์ในช่วงตลาดอเมริกัน สถิติการเติบโตของผลตอบแทนพันธบัตรและดัชนี IHS Markit ภาคบริการของสหรัฐฯ ส่งผลบังคับให้ฝั่งกระทิงถอยหลังอีกครั้ง และราคาคู่นี้ก็ปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.4153
  • USD/JPY ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เข้าข้างตลาดหมีเป็นเวลาสี่สัปดาห์ติดต่อกัน โดยในครั้งที่แล้วได้คาดการณ์ว่าราคาจะขยับลงมายังแนวรับที่ 109.00 และลงต่อมาที่ 108.35 การคาดการณ์ดังกล่าวถือว่าถูกต้อง ราคาได้ตัดทะลุแนวรับลงมาที่ 109.00 และดิ่งลงต่อ จริงอยู่ที่ราคาไม่ได้ขยับถึงเป้าหมายที่สอง และปิดตลาดที่ 108.56
    ทั้งนี้ เงินเยนได้รับแรงหนุจากแนวโน้มขาลงของผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และราคาสินค้าโภคภัณฑ์เกือบตลอดทั้งสัปดาห์ บางทีราคาคู่นี้อาจขยับลดลงต่อไป แต่ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นและผลตอบแทนของพันธบัตรทำให้ราคากลับมาอยู่ที่แนวรับ คือ 109.00 จากนั้นคือระดับที่ 108.93 ก่อนที่จะปิดตลาดท้ายสัปดาห์
  • คริปโตเคอเรนซี การทะยานขึ้นซึ่งเริ่มต้นในฤดูใบไม้ร่วงปี 2020 ส่งผลให้นักลงทุนหลายคนอยู่ในช่วงวาดฝันอย่างดิบดี หลายคนมองว่าสินทรัพย์ดิจิทัลจะเติบโตตลอดไป จนลืมว่าตลาดคริปโตไม่ใช่แค่ผันผวน แต่ยังผันผวนสูงมากอีกด้วย และแค่เพียงข่าวช็อคเล็กน้อยก็เพียงพอที่จะก่อให้เกิดความผันผวนครั้งรุนแรงได้ และจะเกิดอะไรขึ้นถ้ามีเหตุการณ์ช็อคหลายเหตการณ์ที่รุนแรงมากพอ? ในกรณีนี้ เช่นเดียวกันกับการเกิดแผ่นดินไหว ภาวะหวาดวิตกจะก่อตัว และคลื่นสึนามิจะถล่มใส่ตลาดทำลายทุกตำแหน่งที่เปิดขึ้นด้วยอัตราทดทั้งหลาย
    ตลาดคริปโตประสบกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งรุนแรงดังกล่าวในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนพฤษภาคม ซึ่งการทรุดลงหนักสองครั้งแรกมีความเกี่ยวข้องกับ นายอีลอน มัสก์
    ตอนแรก Tesla ออกมาประกาศยุติการรับรองบิทคอยน์ในการขายรถยนต์ไฟฟ้า โดยอธิบายเรื่องความกังวลต่อสิ่งแวดล้อม “เรามีความกังวลเกี่ยวกับการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในการขุดเหรียญ อนาคตของโลกเราขึ้นอยู่กับปริมาณการปล่อยก๊าซในชั้นบรรยากาศ และเราจะไม่หลีกหนีจากการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอ้างอิงจากการแถลงข่าว
    แรงสะเทือนต่อตลาดรอบที่สองมาจากทวีตข้อความจาก นายอีลอน มัสก์ ว่า Tesla ยังมีความเป็นไปได้ที่จะขายเหรียญบิทคอยน์ที่เคยซื้อเก็บไว้ก่อนหน้านี้ อย่าลืมว่าราคา BTC พุ่งขึ้นมา 22% ในเวลาเพียงสามเดือน หลังปรากฏข่าวว่า Tesla ได้ลงทุนเป็นเงิน $1.5 พันล้านดอลลาร์ในเหรียญบิทคอยน์ และอาจพยายามขจัดมันในตอนนี้
    การทรุดลงรอบที่สามของตลาดเงินคริปโตเกิดขึ้นหลังจากสถาบันทางการเงินของจีนถูกสั่งห้ามให้บริการใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล คำแถลงดังกล่าวนี้ออกมาโดยหน่วยงานทางการเงินที่กำกับดูแลธุรกรรมการเงินออนไลน์ และตลาดการชำระเงิน
    ในขณะนี้ สถาบันการเงินในจีนไม่สามารถให้บริการใด ๆ เพื่อจัดเก็บและบริหารจัดการคริปโตเคอเรนซีได้ รวมทั้งยังไม่สามารถออกผลิตภัณฑ์ใด ๆ เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล นอกจากนี้ ยังห้ามไม่ให้ใช้เงินดิจิทัลเป็นสื่อกลางในการชำระเงิน หน่วยงานทั้งสามระบุในแถลงการณ์ร่วมกันว่า สินทรัพย์เสมือนจริงนี้ “ไม่มีมูลค่าที่แท้จริง ราคาถูกปั่นป่วนได้ง่าย และสัญญาการซื้อขายไม่ได้รับความคุ้มครองโดยกฎหมายของจีน”
    นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ แสดงออกอย่างเป็นหนึ่งเดียวกันกับรัฐบาลจีนในการวิพากษ์วิจารณ์คริปโตเคอเรนซี โดยกล่าวว่า เงินคริปโตเป็นความเสี่ยงต่อเสถียรภาพทางการเงิน และชี้ว่าจำเป็นจะต้องใช้การกำกับดูแลที่เข้มงวดมากขึ้น คู่ขนานกันนั้น กระทรวงการคลังสหรัฐฯ ก็ออกข้อเสนอว่า ข้อมูลเกี่ยวกับการโอนธุรกรรมคริปโตเคอเรนซีที่มีมูลค่ามากกว่า $10,000 จำเป็นจะต้องมีการรายงานต่อสรรพากร
    ทั้งนี้ อย่าลืมว่าบิทคอยน์ได้ทำสถิติสูงสุดที่ $64,600 เมื่อวันที่ 14 เมษายน และขณะนี้ ในเวลาเพียง 5 สัปดาห์ถัดมาในวันที่ 19 พฤษภาคม ราคาดิ่งลงมาที่ $30,225 ซึ่งลงมาถึง 53% (สำหรับ Ethereum ตัวเลขดังกล่าวอยู่ที่ $4,364 และ 56% ตามลำดับ) จากนั้นตลาดดูเหมือนจะกำลังฟื้นตัว และราคา BTC/USD ได้ไต่ขึ้นมาที่ $42,285 แต่ได้เกิดการกลับตัวอีกครั้งเมื่อวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม และราคาตกลงมายังระดับที่ $33.440 ภายในเย็นวันศุกร์เช่นกัน
    ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ลดลงมายังระดับต่ำสุดในรอบ 12 เดือน เพียง 11 จุดเท่านั้น ในช่วงปลายสัปดาห์ทำการในวันที่ 21 พฤษภาคม ดัชนีดังกล่าวขึ้นมาเล็กน้อยที่ 19 จุด และขณะนี้อยู่ในโซน “มีความกลัวสูงอย่างยิ่ง” เมื่ออ้างอิงจากนักพัฒนาดัชนี ตัวเลขดังกล่าวชี้ว่าตลาดกำลังอยู่ในช่วงหวาดวิตก และมีโอกาสที่แนวโน้มเติบโตจะเริ่มขึ้นในเวลาอีกสักระยะ
    ชัดเจนว่าการแห่เทขายอย่างหวาดวิตกนั้นส่งผลกระทบไม่ใช่แค่เฉพาะต่อบิทคอยน์เท่านั้น แต่ยังรวมถึงตลาดคริปโตโดยรวม ในขณะที่เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม ปริมาณรวมในตลาดอยู่ที่ $2.54 ล้านล้านดอลลาร์ จากนั้นเพียงเจ็ดวันเท่านั้น ในวันที่ 19 พฤษภาคม ตัวเลขดังกล่าวลงมาที่ $1.43 ล้านล้านดอลอลาร์ ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม
    เมื่อสรุปบทรีวิวของสัปดาห์ที่แล้ว การกล่าวอะไรในทางบวกบ้างอาจพอเป็นประโยชน์ในช่วงที่มีแต่ข่าวลบ ๆ เช่นนี้ โดยทั่วไปนั้น นอกจากผู้ที่เสียเงินไปแล้ว ก็ยังมีผู้ที่ทำกำไรได้มหาศาลจากการทรุดตัวลงของราคา อ้างอิงจากเว็บไซต์ itsblockchain ปลาวาฬท่านหนึ่งได้ขายเงิน 3,000 BTC เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม ที่ราคาเฉลี่ยคือ $58,500 และซื้อกลับมา 3,521 เหรียญที่ราคาเฉลี่ย คือ $44,500 ระหว่างวันที่ 15 - 19 พฤษภาคม ดังนั้น นักลงทุนรายนี้ทำกำไรได้ถึง $18.7 ล้านดอลลาร์ และในขณะเดียวกันก็มีเหรียญเพิ่มขึ้นอีก 521 เหรียญ ตรงนี้เองเราขอย้ำเตือนว่า บริษัทโบรกเกอร์ NordFX ให้บริการโอกาสในการทำกำไรไม่ใช่แค่จากแนวโน้มขาขึ้น แต่รวมถึงขาลงในตลาด ในขณะเดียวกัน แค่นักเทรดมีเงินเพียง $150 บนบัญชี ก็สามารถเปิดตำแหน่งได้ทั้งซื้อและขายที่ปริมาณ 1 BTC (ต่ำกว่า 10 เท่า สำหรับ 1 ETH โดยอยู่ที่ $15)

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD หากในช่วงฤดูใบไม้ผลิปี 2020 เป็นปัจจัยกำหนดแนวโน้มขาลงของเศรษฐกิจจากการระบาดของไวรัสโคโรนา หนึ่งปีถัดมาทุกอย่างกลับตาลปัตร 180 องศา และในขณะนี้ ปัจจัยกระตุ้นหลักของตลาด คือ การเพิ่มอัตราหมุนเวียนเงินในประเทศ กล่าวคือ การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นต่าง ๆ
    ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ทำสถิติสูงสุดใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และนักลงทุนแม้ว่าจะคุกรุ่นอยู่ในตลาดหุ้น ก็ยังแห่ขายดอลลาร์ครั้งแล้วครั้งเล่าเพื่อที่จะกลับมาซื้อหุ้นและสินทรัพย์ความเสี่ยงสูงอื่น ๆ
    เริ่มตั้งแต่วันที่ 30 มีนาคม 2021 ดัชนีดอลลาร์ DXY ขยับลงต่อเนื่อง ในขณะที่คู่ EUR/USD ขยับขึ้น และแม้ว่าผู้บริหารธนาคารเฟดกล่าวว่า การหารือเรื่องความเป็นไปได้ในการจำกัดมาตรการ QE อาจเริ่มได้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้ สิ่งนี้อาจส่งผลต่อดอลลาร์แค่เพียงในระยะสั้นเท่านั้น ความอ่อนแอของสถิติมหภาคล่าสุดไม่น่าจะอนุญาตให้ธนาคารฯ ต้องยกเลิกมาตรการสนับสนุนทางการเงินต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหากมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมใด ๆ เกิดขึ้น ก็ไม่น่าจะเกิดขึ้นจนกว่าจะถึงปลายปีนี้
    แน่นอนว่าไม่มีใครตั้งคำถามเกี่ยวกับการฟื้นตัวที่มั่นคงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม กระบวนการนี้เริ่มชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด บางทียุโรปอาจกลายเป็นตัวอย่างเรื่องการฟื้นตัวจากภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 ยูโรโซนดูแข็งแกร่งมากในเวลานี้เทียบกับเมื่อไม่กี่เดือนก่อนหน้า อัตราการฉีดวัคซีนที่เร่งตัวสูงขึ้น และการลดมาตรการกักตัวในหลายประเทศอียูชี้ให้เห็นถึงการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว คณะกรรมาธิการยุโรปได้ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของ GDP ของปี 2021 จาก 3.8% เป็น 4.3% แล้ว และในขณะนี้คาดว่ามาตรการทางการเงินที่รัดกุมอาจเริ่มเห็นในที่ประชุมธนาคารกลางยุโรปในเดือนมิถุนายนนี้
    เศรษฐกิจยุโรปขึ้นอยู่กับการส่งออกเป็นหลัก ดังนั้น รัฐบาลของนายโจ ไบเดน อาจสามารถช่วยเหลือได้โดยการปรับลดภาษีนำเข้าตามที่เคยบังคับใช้ภายใต้รัฐบาลก่อนหน้าของ นายโดนัลด์ ทรัมป์
    ทั้งหมดนี้ชี้ให้เห็นว่า เทรนด์กระทิงสำหรับคู่ EUR/USD อาจดำเนินต่อไป ผู้เชี่ยวชาญ 70% เห็นด้วยกับการคาดการณ์นี้ โดยชี้เป้าหมายสูงสุดของปีไว้ที่ 1.2350 โดยมีแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 1.2245 และ 1.2330 ส่วนในระยะยาว เราอาจพูดถึงการเติบโตของราคาคู่นี้ไปที่ 1.2550
    นักวิเคราะห์ 30% ที่เหลือเชื่อว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่มีแรงซื้อมากเกินไปอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งใหญ่ ซึ่งจะทำให้ราคาตัดทะลุแนวรับที่ 1.2160 โดยตอนแรกจะลงไปที่ 1.2050 และขยับถึงแนวรับที่โซน 1.1985-1.2000
    ด้านการวิเคราะห์กราฟชี้ให้เห็นว่าคู่ EUR/USD จะคงอยู่ในกรอบ 1.2160-1.2245 อยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นราคาจะขยับลงในทิศใต้ แต่ยังมีความสับสนระดับหนึ่งในหมู่อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคบนกรอบ H4 แต่ผลการวิเคราะห์นั้นชัดเจนกว่าในกรอบ D1 คือ ออสซิลเลเตอร์ 85% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% ให้สัญญาณเป็นสีเขียว
    ในส่วนสถิติมหภาค วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม อาจเป็นวันที่น่าสนใจมากที่สุด เราจะได้รับทราบปริมาณคำสั่งซื้อสินค้าคงทน รวมถึง GDP สหรัฐฯ ในวันเดียวกัน
  • GBP/USD ด้วยสภาพอากาศที่ดีขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ คาดว่าสถิติการจับจ่ายใช้สอยและตัวเลขทางธุรกิจน่าจะดูสดใสในสหราชอาณาจักร นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งยกเลิกมาตรการจำกัดที่เหลือ โดยวางแผนว่าจะยกเลิกมาตรการทั้งหมดภายในวันที่ 21 มิถุนายน สถานการณ์ทั้งหมดนี้อาจทำให้ฝั่งกระทิงบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ และราคา GBP/USD จะทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 36 เดือนที่ 1.4241 โดยนักวิเคราะห์ 65% เห็นด้วยกับการคาดการณ์นี้ สนับสนุนโดยออสซิลเลเตอร์จำนวน 90% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 95% บนกรอบ D1 รวมถึงการวิเคราะห์กราฟบนทั้งกรอบ H4 และ D1
    จริงอยู่ที่การวิเคราะห์กราฟคาดการณ์แนวโน้มขาลงของเงินปอนด์ในช่วงสิบวันแรกของเดือนมิถุนายน ผู้เชี่ยวชาญ 35% ที่เหลือก็คาดการณ์การปรับฐานในทางทิศใต้เช่นกัน ระดับแนวรับในที่นี้ ได้แก่ 1.4100, 1.4075 และ 1.4000
  • USD/JPY ตัวเลข CPI (ดัชนีราคาผู้บริโภค) ที่ต่ำของญี่ปุ่นได้ประกาศออกมาเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม ชี้ให้เห็นว่าอัตราผลตอบแทนที่แท้จริงนั้นทำผลงานได้ดีกว่าผลตอบแทนตัวอื่นเป็นอย่างมาก และทั้งหมดนี้เกิดขึ้นแม้ว่าเงินเยนจะอ่อนค่าในช่วงไตรมาสแรกของปีปัจจุบัน
    แรงกดดันสำคัญต่อเงินยนในฐานะสกุลเงินหลบภัยมาจากการหมุนเวียนของเงินที่เพิ่มขึ้นในโลก รวมถึงการเติบโตของผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลระยะยาวของประเทศอื่น ๆ โดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา เมื่อเทียบกันแล้ว ผลตอบแทนของพันธบัตรญี่ปุ่นรอบ 10 ปี อยู่ที่ 0.25% ในขณะที่ผลตอบแทนที่คล้ายกันของสหรัฐฯ คือ 1.63%
    ในอีกด้านหนึ่งนั้น กำลังซื้อของเงินเยนและแรงต้านทานของเศรษฐกิจญี่ปุ่นต่อราคาและภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นนั้นส่งผลดีต่อเงินเยน สถิติ PPI ที่ประกาศออกมาชี้ให้เห็นว่า ผลตอบแทนที่แท้จริงของพันธบัตรญี่ปุ่นในเดือนเมษายนเป็นบวก ในขณะที่ของฝั่งสหรัฐฯ การพิมพ์ธนบัตรของธนาคารเฟดกำลังทำให้ผลตอบแทนที่แท้จริงลดต่ำลงกว่าระดับศูนย์
    เช่นเดียวกันกับช่วงสี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (ในครั้งนี้มี 75%) เชื่อว่า เงินเยนนั้นอ่อนค่าลงมากเกินไปและน่าจะฟื้นคืนมูลค่าที่เสียไปเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้ว่าการคาดการณ์ในกรณีนี้ชี้ว่าเงินเยนจะฟื้นขึ้นไม่มากนัก โดยให้เป้าหมายไว้ที่ระดับ 108.55, 108.30 และ 108.00 และแนวรับที่ 107.50 ถูกมองว่าเป็นเป้าหมายที่ห่างไกล ในส่วนผู้เชี่ยวชาญ 25% ที่เหลือ คาดว่าราคาจะกลับมาสู่โซน 110.00 และมีแนวต้านใกล้ที่สุด คือ 109.35
    อินดิเคเตอร์บนกรอบ H4 ดูค่อนข้างมีความผสมผสานกัน ในที่นี้มีความได้เปรียบ (60%) ในฝั่งตลาดหมีบนกรอบ D1 มากกว่าเล็กน้อย ส่วนการวิเคราะห์กราฟบนทั้งสองกรอบเวลาชี้ให้เห็นถึงการเคลื่อนที่ด้านข้างของคู่นี้ที่กรอบ 108.30-110.00

  • คริปโตเคอเรนซี หลังจากการทรุดตัวอย่างรุนแรงที่เกิดขึ้น ผู้ทรงอิทธิพลต่าง ๆ รวมตัวกันเพื่อพยายามที่จะบอกให้ทุกคนตั้งสติ และโน้มน้าวคนในแวดวงคริปโตว่าไม่มีอะไรน่ากลัว แต่สถานการณ์ที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
    นายโจเอล ครูเกอร์ นักยุทธศาสตร์แพลตฟอร์มสถาบัน LMAX มองว่าคำพูดของ อีลอน มัสก์ เกี่ยวกับการใช้พลังงานสูงของบิทคอยน์เป็นเพียงปัจจัยกระตุ้นการปรับฐานที่ควรเกิดขึ้นมาตั้งนานาแล้ว เขาเขียนไว้ว่า “มันมีข่าวโยงเกี่ยวกับ Tesla และอีลอน มัสก์ มากเกินไป” “การย่อตัวเกิดจากปัจจัยนี้ไม่มากเท่าไรนัก แต่เป็นปัจจัยทางเทคนิคที่คุกรุ่นมานานหลังจากการเคลื่อนที่แบบพาราโบลิกที่มาไกลเกินพอดี”
    นายลาร์ค ดาวิส นักวิเคราะห์เงินคริปโตชื่อดังเชื่อว่า นักเทรดบิทคอยน์ไม่ควรกังวลเกี่ยวกับความเห็นของ อีลอน มัสก์ หรือการลดมูลค่าลงของบิทคอยน์ ดาวิสแนะนำให้ลองดูแนวโน้มการทะยานขึ้นของปี 2017 และดูว่าบิทคอยน์นั้นสามารถเอาตัวรอดจากแนวโน้มขาลงมาได้แล้วหลายครั้ง เขาเน้นย้ำว่าการปรับฐานที่เกิดขึ้นทั้ง 4 ครั้ง ก่อนหน้านี้ ราคาได้ปรับลงมาที่ 30-45%
    ลาร์ค ดาวิส มั่นใจว่าการเติบโตในปัจจุบันเป็นเพียงช่วงระยะแรกเท่านั้น และราคาจะทะยานขึ้นไปสูงอีกเป็นอย่างมากในช่วงปลายปีนี้ “คุณควรมองภาพรวมให้กว้างขึ้น” เขาแนะนำ สถานการณ์บิทคอยน์ในปัจจุบันไม่ใช่สาเหตุของความกังวล นี่คือสถานการณ์ที่ค่อนข้างปกติที่เกิดขึ้นในตลาดคริปโต สถานการณ์นี้มีแนวโน้มที่จะเป็นช่วงกระทิงครั้งใหญ่อีกครั้งในอีกไม่กี่สัปดาห์ ทุกคนจะเริ่มพูดคุยกันอีกครั้งว่า BTC เป็นแนวคิดทางการเงินแบบใหม่ ตอนนี้จึงไม่ใช่เวลาที่จะต้องหวาดวิตกและแห่ขายคริปโต แต่เป็นเวลาที่ควรเข้าซื้อในช่วงที่เต็มไปด้วยความกลัว เรามีโอกาสเข้าซื้อที่ยอดเยี่ยม”
    นักวิเคราะห์จาก Glassnode ยืนยันถ้อยคำของ นายดาวิส โดยนักวิเคราะห์มองว่า ในขณะที่นักลงทุนหน้าใหม่หลายคนกำลังตกใจจากช่วงตลาดดิ่งลง นักลงทุนในระยะยาวจะค่อย ๆ เพิ่มการลงทุนของพวกเขา เช่น บริษัทการวิเคราะห์ธุรกิจ MicroStrategy ฉวยโอกาสในแนวโน้มขาลงของบิทคอยน์และซื้อเพิ่ม 229 BTC มูลค่า $10 ล้านดอลลาร์ การเข้าซื้อดังกล่าวอยู่ที่ช่วงราคาเฉลี่ย $43,663 ด้าน นายโรเบิร์ต คิโยซากิ นักลงทุนเจ้าของหนังสือชื่อดัง “Rich Dad Poor Dad” ก็วางแผนที่จะเข้าซื้อในช่วงขาลงของบิทคอยน์รอบนี้เช่นกัน
    แม้ว่าจะมีการทรุดตัวลง เคธี วูดส์ ผู้บริหารกองทุน Ark Invest เน้นย้ำมุมมองของเธอต่อบิทคอยน์ ในบทสัมภาษณ์กับ Bloomberg เธอกล่าวว่า ราคาของบิทคอยน์จะขยับถึง $500,000 ในอนาคต ซึ่ง เคธี วูดส์ เชื่อว่าแนวโน้มขาลงของบิทคอยน์เป็นผลมาจากกระแสอารมณ์ที่รุนแรง ซึ่งตามหลักแล้วไม่มีความเกี่ยวข้องกับปัจจัยพื้นฐาน ในขณะเดียวกันนั้น เธอยังเห็นความเชื่อมโยงกับตลาดหุ้นในกลุ่มที่มีความผันผวนและมีนวัตกรรมมากที่สุดก็เข้าสู่ช่วงปรับฐานครั้งสำคัญเช่นกัน
    ทั้งนี้ คำพูดของเคธี วูดส์ ยังชี้ด้วยว่า แม้ว่าราคาจะดิ่งลงมามากกว่า 50% ราคายังลงมาไม่ถึงจุดต่ำสุด
    ในส่วนของอัลท์คอยน์หลัก ในที่นี้ก็มีการคาดการณ์แนวโน้มกระทิงด้วยเช่นกัน เช่น นายไมค์ โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้งธนาคารคริปโต Galaxy Digital ได้ทำนายไว้ในบทสัมภาษณ์กับ New York Magazine ว่าราคา Ethereum จะเพิ่มขึ้นเป็น $5,000 ซึ่งสิ่งนี้เป็นผลมาจากการผสมผสานกันระหว่างสามปัจจัย คือ แอปการชำระเงินและ stable coins, การกระจายศูนย์กลางทางการเงิน (DeFi) และเหรียญที่มีลักษณะเฉพาะตัว (NFT) เขากล่าว “ผมมั่นใจเกือบ 100% ว่าราคาจะขยับขึ้น มันก็แค่คณิตศาสตร์เท่านั้น” เขากล่าวอธิบาย
    ในช่วงท้ายของบทวิเคราะห์ เราจะกล่าวถึงเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในแวดวงคริปโตเกี่ยวกับวิธีการทำเงินจากข่าวลบจากผู้สร้างกระแสข่าวทั้งหลาย
    ด้วยความโกรธเคืองจากข้อความในทวิตเตอร์ของ อีลอน มัสก์ เหล่าสาวกคริปโตได้พัฒนาเหรียญ Fuck Elon Tweek (FUCKELON) ขึ้นมา โดยจากการแถลงของพวกเขา จำนวนเหรียญที่ออกจะอยู่ที่ 1 พันล้านเหรียญ FUCKELON ทำงานบน Binance Smart Chain และมีวอลเล็ตกว่า 9,000 แล้วในขณะนี้ ที่สำคัญที่สุด ราคาเหรียญยังพุ่งขึ้นมาแล้ว 2,000% และขณะนี้ซื้อขายอยู่ที่ $0.005260 ณ เวลาที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา