บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 12 - 16 กรกฎาคม 2021

อันดับแรกเป็นบทรีวิวเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่ผ่านมา:

  • EUR/USD อย่างที่คาดการณ์ไว้โดยผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (65%) ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา และ EUR/USD ขยับขึ้น โดยสถิติที่น่าผิดหวังจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งประกาศออกมาเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม ส่งผลต่อดอลลาร์ จากการคาดการณ์ชี้ว่า อัตราการว่างงานน่าจะปรับลดลงจาก 5.8% เป็น 5.7% แต่ในความเป็นจริงกลับเพิ่มขึ้นเป็น 5.9%
    ดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของสหรัฐฯ ซึ่งประกาศเมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม ก็ช่วยพยุงดอลลาร์ไม่ให้อ่อนค่าลงหนักกว่าเดิม แม้ว่าดัชนี ISM ในภาคบริการจะลดลงมาเป็น 60.1 ในเดือนมิถุนายน (จาก 64 ในเดือนพฤษภาคม) แต่กลับไม่ส่งผลให้นักลงทุนหวาดกลัว เพราะผลลัพธ์ที่เกิน 50 ถือว่าเป็นบวก และเป็นผลดีต่อดอลลาร์ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากราคาทำระดับสูงสุดที่ 1.1895 คู่ EUR/USD ก็ได้กลับทิศและขยับลดลง ทำระดับต่ำสุดในกรอบที่ 1.1780 เมื่อวันพุธที่ 7 กรกฎาคม
    ผลการประชุมประจำเดือนมิถุนายนของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ซึ่งประกาศออกมาในวันเดียวกันชี้ให้เห็นว่า แม้จะมีการพูดคุยเรื่องการจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการเงินและสินเชื่อ (QE) แต่ก็ไม่มีการตัดสินใจอย่างเฉพาะเจาะจง ธนาคารฯ ยังไม่เร่งรีบที่จะยกระดับนโยบายทางการเงิน โดยอาศัยผลดัชนีภาวะเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว และจะรอจนกว่ามีการฟื้นตัวของตลาดแรงงานโดยสมบูรณ์ ทั้งนี้อย่างที่ระบุไปแล้วข้างต้น ดัชนีดังกล่าวยังดูไม่ค่อยดีเท่าใดนักในขณะนี้ ซึ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจอเมริกาที่ยังคงชะลอตัว
    วันถัดมาเป็นวันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม คือวันที่ยูโรเริ่มฟื้นตัวขึ้นมา ไม่ใช่ชเพราะท่าทีที่ผ่อนคลายจากธนาคารเฟดเท่านั้น แต่ยังได้รับปัจจัยหนุนมาจากการประกาศเป้าหมายอัตราเงินเฟ้อใหม่โดยธนาคารกลางยุโรป เดิมก่อนหน้านี้ เป้าหมายคือการรักษาระดับเงินเฟ้อให้ “ต่ำกว่าแต่ใกล้ระดับ 2%” ในขณะนี้ เป้าหมายอย่างเป็นทางการยอมให้ผลลัพธ์เกินกว่าระดับดังกล่าวได้บ้าง ในขณะเดียวกัน นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปเน้นย้ำว่า ธนาคารกลางยุโรปจะไม่คัดลอกยุทธศาสตร์ใหม่เหมือนกันกับของธนาคารเฟด และจะไม่กระตุ้นการเติบโตของราคาผู้บริโภคเพื่อขยับถึงค่าเฉลี่ยดังกล่าว
    การแข็งค่าขึ้นของยูโรและการลดลงของความเสี่ยงรอบโลกยังได้รับผลกระทบมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา นักเทรดเริ่มปิดคำสั่งซื้อที่เปิดกับคู่สกุลเงินยอดนิยม และเริ่มมีเงิน EUR และ JPY ไหลเวียนกลับเข้าสู่ประเทศกำลังพัฒนามากขึ้น
    ความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ทั้งหมดนี้ส่งผลให้ ราคาขยับแทบจะเป็นศูนย์ และคู่ EUR/USD ปิดตลาดรอบสัปดาห์แทบจะที่ระดับเดิมกับที่เริ่มต้นคือ 1.1877
  • GBP/USD อัตราการเคลื่อนที่ของเงินปอนด์อังกฤษเทียบกับดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ที่แล้วนั้นเดินตามรอยการเคลื่อนที่ของคู่ยูโร คำคาดการณ์ที่ให้ไว้โดยการวิเคราะห์กราฟปรากฏว่าแม่นยำมากที่สุด ซึ่งระบุว่า GBP/USD จะขยับขึ้นไปที่ 1.3870-1.3900 และจากนั้นจะเป็นการเคลื่อนที่ด้านข้างในกรอบ 1.3730-1.3870 ในความเป็นจริงนั้นต่างกันเพียงไม่กี่จุดเท่านั้น และราคาปิดตลาดบริเวณฏรอบด้านบนของช่องที่ 1.3890
  • USD/JPY การแข่งขันว่าสกุลเงินใดเป็นที่หลบภัยที่ดีที่สุดจากพายุทางการเงินนั้นยังไม่จบ และในสัปดาห์นี้เป็นฝั่งเงินเยนที่ชนะไปอย่างชัดเจน โดยแข็งค่าขึ้นมากกว่าดอลลาร์กว่า 100 จุด เป็นไปตามที่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (75%) คาดการณ์ไว้ ราคาได้ขยับไปทางทิศใต้ตลอดช่วงครึ่งแรกของสัปดาห์ และทำระดับต่ำสุดในกรอบที่ 109.50 เมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม ในจุด ๆ หนึ่ง เนื่องด้วยการทะยานขึ้นของตลาดหุ้นและผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง ทำให้ฝั่งเงินเยนแซงหน้าไปกว่า 150 จุด
    จากนั้นหลังจากที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรับฯ เพิ่มขึ้นมาเป็น 1.3433% ดอลลาร์ก็ฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง และราคาคู่นี้ปิดตลาดที 110.10
  • คริปโตเคอเรนซี ผลสำรวจจาก Morning Brew พบว่า สิ่งที่นักลงทุนคริปโตรายย่อยหวาดกลัวมากที่สุด คือ … ทวีตข้อความของนายอีลอน มัสก์ ซึ่งได้รับการยืนยันจากอีกหนึ่งแบบสำรวจที่จัดทำขึ้นโดย Investing.com ตามผลลัพธ์ดังกล่าว หนึ่งในห้าของผู้ตอบแบบสำรวจได้ขายบิทคอยน์ไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2021 ซึ่งให้เหตุผลเกี่ยวข้องกับข้อวิพากษ์วิจารณ์ของ นายมัสก์ ต่อคริปโตเคอเรนซี
    ทั้งนี้ ทวีตข้อความของเขาพร้อมด้วยคำสั่งแบนธุรกรรมคริปโตเคอเรนซีในประเทศจีนส่งผลให้ราคาเงินคริปโตทรุดลงครั้งใหญ่ บิทคอยน์ดิ่งลงมาจาก $64,600 เหลือ $30,000 อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า เหตุผลหลักเบื้องหลังสิ่งที่เกิดขึ้นคือการใช้อัตราทดในตลาดคริปโต หรือการเทรดด้วยมาร์จิน ซึ่งทำให้นักเทรดสามารถเปิดคำสั่งเทรดขนาดใหญ่ด้วยเงินจำนวนน้อยได้ และเป็นเพราะการแห่ปิดคำสั่งเหล่านี้เป็นจำนวนมากที่ทำให้ราคาเหรียญทรุดตัวลง และมูลค่ารวมของตลาดคริปโตลดลงมาถึง 45%
    สำหรับทางการจีนนั้นยังคงเดินหน้าบีบสกุลเงินเสมือนจริงให้ออกจากประเทศ ธนาคารแห่งชาติจีนกล่าวว่า บิทคอยน์ และ stablecoin เป็นภัยคุกคามต่อความปลอดภัยทางการเงินและความมั่นคงทางสังคม และยังได้สั่งแบนบริการต่าง ๆ ของบริษัทที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดนี้ รวมถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ การให้เช่าหรือให้บริการใด ๆ ในตลาด
    ในขณะนี้ ตลาดกำลังจับตามองกระบวนการย้ายฐานการขุดเหรียญออกจากประเทศจีน และที่น่าสนใจคือว่าฐานการขุดเหรียญนี้จะย้ายไปอยู่ในประเทศใด หากเป็นในสหรัฐฯ ก็จะมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นภาพลักษณ์ให้มีความน่าสนใจต่อสถาบันต่าง ๆ โดยตามรายงานของ Crypto Head ประมาณการไว้ว่า จาก 76 ประเทศสหรัฐฯ เป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการเตรียมใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลขนานใหญ่ อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่านักขุดเหรียญเกรงกลัวหน่วยงานทางการของสหรัฐฯ ไม่ได้น้อยไปกว่าของจีนเลย และดังนั้น พวกเขาอาจเลือกประเทศในภูมิภาคเอเชียกลาง เช่น คาซัคสถาน มองโกเลีย ฯลฯ ซึ่งเป็นภูมิภาคที่มีอากาศหนาวและมีต้นทุนการเข้าถึงทรัพยากรพลังงานที่ไม่แพงมาก แม้ว่าทุกอย่างอาจจะดูไม่ราบรื่นที่นี่ เช่น เราเคยเขียนไว้แล้วว่า ในคาซัคสถานได้มีการผ่านกฎหมายเพื่อคิดเงินเพิ่มสำหรับการใช้พลังงานในกิจการคริปโตเคอเรนซีของนักขุดเหรียญ
    ทั้นี้ เนื่องด้วยกาสั่งแบนที่เกิดขึ้นในจีน อัตราแฮชเรตในบล็อกเชนจึงลดลงเกือบ 50% ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในความซับซ้อนของอัลกอริทึม และผลกำไรสำหรับนักขุดเหรียญที่เหลือที่เพิ่มขึ้น ขณะนี้ พวกเขาทำรายได้ได้มากถึงราคาของเหรียญที่เคยสูงถึง $60,000
    สำหรับนักลงทุนนั้น พวกเขากำลังรอให้ราคาบิทคอยน์ขยับขึ้นมายืนเหนือแนวต้านที่ $36,000 ให้สำเร็จเป็นสัปดาห์ที่สามติดต่อกัน อีกหนึ่งความพยายามของฝั่งกระทิงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วไม่เป็นผลสำเร็จอีกครั้ง และ BTC/USD ซื้อขายอยู่ในโซน $32,500-33,500 เมื่อช่วงคืนวันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม
    มูลค่ารวมในตลาดคริปโตก็มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักตลอดทั้งสัปดาห์ จาก $1.358 ล้านล้านดอลลาร์ เป็น $1.370 ล้านล้านดอลลาร์ โดยมีเงินไหลออกจาอัลท์คอยน์ (รวมถึง Ethereum) เข้าสู่บิทคอยน์เล็กน้อย ด้าน นายนิโคเลาส์ พานิเกิร์ตโซกลู นักวิเคราะห์จาก JP Morgan ก็เน้นย้ำในบทสัมภาษณ์กับ CNBN ว่าการเคลื่อนที่นี้เป็นเทรนด์ที่กลับตัว ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ในตอนนั้นมีเงินไหลเวียนเข้าสู่อัลท์คอยน์จำนวนมากและอาจหมายความว่าแนวโน้มตลาดหมีของบิทคอยน์ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ยังเร็วเกินไปมากที่จะพูดถึงความคืบหน้าที่ชัดเจนใด ๆ โดยยืนยันได้จากราคา มูลค่าในตลาด และดัชนี Crypto Fear & Greed Index ซึ่งยังคงตัวอยู่ในโซนหวาดกลัวอย่างยิ่ง (Extreme Fear) ผลดัชนีลดลงเพียง 1 จุดตลอดทั้งสัปดาห์ จาก 21 ลงมาที่ 20 จุด

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ดูเหมือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาที่เกี่ยวข้องกับสายพันธุ์ใหม่กำลังก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ความต้องการในความเสี่ยงลดลง และนักลงทุนเริ่มกลัวว่าสถานการณ์จะซ้ำรอยเหมือนปีที่แล้ว จึงเริ่มหันเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยมากขึ้น ดัชนีหุ้น ทั้ง Nasdaq, Dow Jones, S & P500 หยุดเติบโตและเคลื่อนที่ในกรอบด้านข้าง ความต้องการในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น และอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายเดือนที่ 1.25%
    แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดจะดูแย่ลง แต่คณะกรรมาธิการยุโรปปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของ GDP ในยูโรโซนจาก 4.3% เป็น 4.8% ในปี 2021 อัตราการเติบโตของกิจกรรมทางเศรษฐกิจอาจได้รับอิทธิพลจากการผ่อนคลายมาตรการกักตัว (หากไม่มีการเปลี่ยนแปลง) และการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชากรเป็นวงกว้าง ผลดัชนี GDP คาดว่าจะกลับสู่ระดับก่อนช่วงวิกฤติได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ซึ่งเร็วกว่าการคาดการณ์หนึ่งไตรมาส และแนวโน้มนี้อาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางยุโรปเริ่มจำกัดมาตรการ QE รวดเร็วยิ่งขึ้น
    แต่ถ้าหากอัตราเงินเฟ้อยุโรป และ GDP เติบโตที่ 2% และ 4.8% และของฝั่งอเมริกาก็เติบโตคล้ายกันที่ 5% และ 7% ตามลำดับ คำถามก็คือฝั่งไหนจะเป็นฝ่ายเริ่มต้นจำกัดมาตรการทางการเงินก่อนกัน? จริงอยู่ที่ธนาคารเฟดสหรัฐฯ ยังคงรอดูสถานการณ์ แต่ทางฝั่งผู้บริหารธนาคารกลางยุโรปแทบไม่มีใครที่ส่งเสริมมาตรการเข้มงวดทางการเงิน และท่าทีในปัจจุบันดูเหมือนจะเป็นการประนีประนอมระหว่างฝ่ายที่สนับสนุนการขยายมาตรการทางการเงินและฝั่งตรงกันข้าม
    ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญต่อคู่ EUR/USD ในอนาคตอันใกล้นี้ก็ดูประนีประนอมเช่นเดียวกัน 40% เห็นด้วยกับแนวโน้มขาขึ้น และ 45% โหวตให้กับขาลง และ 15% เห็นด้วยกับเทรนด์ด้านข้าง ในขณะเดียวกัน จำนวนผู้ที่สนับสนุนว่าดอลลาร์จะอ่อนค่าลง และยูโรแข็งค่าขึ้นมี 60% เมื่อปรับเป็นการคาดการณ์ถึงภายในช่วงปลายฤดูร้อนปีนี้
    ในบรรดาอินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์บนกรอบ H4 มี 70% ที่ให้สัญญาณสีเขียว 30% ให้สีแดง ส่วนบนกรอบ D1 ให้ภาพที่แตกต่างออกไป โดย 70% ของอินดิเคเตอร์เทรนด์หันไปทางทิศใต้ และสัญญาณออสซิลเลเตอร์ให้ผลลัพธ์ที่ผสมกันระหว่างแดง เขียว และเทากลาง ด้านการวิเคราะห์กราฟบน H4 ชี้ถึงเทรนด์ด้านข้างในกรอบ 1.1780-1.1900
    เป้าหมายที่ใกล้ที่สุดของฝั่งกระทิง คือ 1.1900 จากนั้น 1.1975, 1.2000, 1.2050 และ 1.2150 ความท้าทายสำหรับเดือนนี้คือการกลับขึ้นสู่ระดับสูงสุดของวันที่ 25 พฤษภาคมอีกครั้งที่ 1.2265 ด้านภารกิจของฝั่งตลาดหมีคือการทดสอบระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมที่ 1.1700 แนวรับระหว่างทางไปสู่เป้าหมายนี้ ได้แก่ 1.1845, 1.1800 และ 1.1780
    เหตุการณ์สำคัญที่ควรเน้นไว้ในปฏิทินเศรษฐกิจสำหรับสัปดาห์นี้ คือ ดัชนีตลาดผู้บริโภคของเยอรมนีและสหรัฐฯ ซึ่งจะประกาศในวันอังคารที่ 13 กรกฎาคม นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ มีกำหนดจะกล่าวแถลงต่อที่ประชุมสภาคองเกรสในวันพุธและพฤหัสบดี และดัชนีผู้บริโภคสหรัฐฯ รวมถึงยอดขายปลีก และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ University of Michigan จะปิดท้ายสัปดาห์ทำการในวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม
  • GBP/USD ตัวเลข GDP ของสหราชอาณาจักร และการผลิตทางอุตสาหกรรมไม่เป็นไปตามตัวเลขคาดการณ์ และสิ่งนี้จะส่งผลเป็นแรงกดดันต่อเงินปอนด์ อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ 60% โหวตว่าคู่ GBP/USD จะขยับขึ้นไปทางทิศเหนือ
    ในสัปดาห์ที่แล้วราคาปิดตลาดโดยขึ้นไปที่โซน 1.3900 ทั้งนี้ กราฟระยะกลางชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระดับดังกล่าวเป็นโซนตรงกลางของกรอบ 1.3700-1.4000 ดังนั้น ราคาอาจมีโอกาสขึ้นต่อไปยังด้านบนของกรอบดังกล่าว
    ด้านผู้เชี่ยวชาญ 40% ที่เหลือ พร้อมด้วยการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ H4 เชื่อว่า เงินปอนด์จะไม่สามารถตัดทะลุแนวต้านที่ 1.3900 ได้ในขณะนี้ เนื่องด้วยคลื่นการแพร่ระบาดของ COVID-19 รอบใหม่ในประเทศ
    ผลการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์แทบจะตรงกันกับผลวิเคราะห์คู่ EUR/USD โดยสมบูรณ์ ในส่วนสถิติเศรษฐกิจมหภาคนั้น ในวันพุธที่ 14 กรกฎาคม จะมีการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิถุนายน ซึ่งคาดการณ์ว่าจะขยับขึ้นจาก 2.1% เป็น 2.2% และในวันถัดมาจะเป็นการประกาศสถิติจากตลาดแรงงานสหราชอาณาจักร รวมถึงยอดขอใช้สวัสดิการว่างงาน และอัตราการว่างงานในประเทศ ทั้งนี้ ดัชนีเดียวกันนี้ของฝั่งสหรัฐฯ ได้ประกาศออกมาแล้วเมื่อวันศุกร์แรกของเดือนกรกฎาคมซึ่งผลลัพธ์กลับเพิ่มขึ้นอย่างผิดความคาดหมาย แต่ของทางสหราชอาณาจักรคาดการณ์ว่าดัชนีจะคงที่ที่ระดับ 4.7%

  • USD/JPY แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะให้ผลวิเคราะห์ที่ชัดเจนใด ๆ สำหรับคู่นี้ทั้งในกรอบ H4 และ D1 ราคาคู่นี้จะยังคงขยับในเทรนด์ขาขึ้นต่อไป ซึ่งเริ่มตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมหรือไม่? ราคาจะสามารถยืนเหนือ 111.00 ได้หรือไม่? มีแรงกระตุ้นรอบใหม่ต่อการเคลื่อนที่ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากราคาปรับฐานเมื่อวันที่ 26 เมษายน และสัญญาณแรกของการตัดทะลุเทรนด์และหลุดลงมาจากกรอบด้านล่างเพิ่งจะปรากฏให้เห็นในตอนนี้
    เราได้พูดถึงเหตุผลหลายประการที่ทำใหเงินเยนแข็งค่าขึ้นไปแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ยังไม่สามารถดึงดูดอารมณ์ของนักลงทุนและอินดิเคเตอร์ได้สำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ คะแนนเสียงของผู้เชี่ยวชาญจึงแบ่งเป็นหลายกลุ่มแทบจะเท่ากัน คือ 30% เห็นด้วยกับขาขึ้น 40% ขาลง และ 40% เป็นกลาง
    ด้านการวิเคราะห์กราฟบนกรอบ D1 ในตอนต้นชี้ถึงกรอบด้านข้างของคู่ USD/JPY ในช่วง 109.50-111.00
    และจากนั้นจึงจะตัดโอกาสว่าเทรนด์จะขยับขึ้นต่อไป และราคาจะตัดทะลุที่ 112.00
    ผลการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นและการแถลงข่าวที่ตามมาของผู้บริหารธนาคารฯ อาจเป็นที่น่าสนใจในสัปดาห์หน้านี้ ทั้งสองเหตุการณ์นี้มีกำหนดในวันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม แต่มีแนวโน้มสูงที่จะไม่มีข่าวน่าประหลาดใจใด ๆ สำหรับเรา และจะเป็นอีกครั้งที่ญี่ปุ่นจะยังคงยึดตำแหน่งที่หลบภัยที่ยอดเยี่ยมสำหรับนักลงทุน
  • คริปโตเคอเรนซี ปริมาณการเทรดบิทคอยน์ต่อวันลดลงถึงระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ต้นปี 2021 Arcane Research บริษัทการวิเคราะห์ชี้ว่า BTC/USD กำลังพยายามอย่างไม่สำเร็จที่จะไต่ขึ้นไปเหนือ $36,000 เป็นเวลาสามสัปดาห์ติดต่อกัน และข้อเท็จจริงที่ราคาตอนนี้ขยับอยู่ใกล้บริเวณต่ำสุดในกรอบนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมนั้นเป็นเรื่องที่น่ากลัวสำหรับนักลงทุนอย่างแน่อน หากราคาดิ่งลงมาต่ำกว่า $28,800 อาจส่งผลให้เกิดกระแสเทขายครั้งและฤดูหนาวคริปโตรอบใหม่
    ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญหลายคนตีความสถานการณ์ในปัจจุบันว่าเป็นช่วงสะสมกำลังตามวิธีคิด Wyckoff หมายความว่า $28,800 คือระดับต่ำสุดของการปรับฐาน (“ช่วงฤดูใบไม้ผลิ”) และจะเกิดกระแสเติบโตตามมาในอนาคต ซึ่งหลักการ Wyckoff นี้จะได้รับการยืนยันหากบิทคอยน์สามารถยืนเหนือแนวต้าน $36,000 ได้สำเร็จ
    - PlanB นักวิเคราะห์เงินคริปโตชื่อดัง (ผู้ติดตามกว่า 609,000 คน) ให้ภาพสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดของบิทคอยน์ โดยผู้เชี่ยวชาญรายนี้เป็นที่รู้จักในการใช้งานโมเดลอัตราส่วน stock-to-flow (S2F) กับบิทคอยน์ และสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดสำหรับบิทคอยน์ในเดือนกรกฎาคม คือ ปิดตลาดที่ราคา $28,000 และในเดือนสิงหาคม ระดับราคาที่เลวร้ายที่สุดคือ $47,000 เขามองว่า หกเดือนข้างหน้านี้จะเป็นตัวตัดสินว่าในศึกการแข่งขันนี้ BTC จะสามารถเข้าสู่เลขหกหลัก และขยับถึง $288,000 ในที่สุดแล้วได้หรือไม่
    ทั้งนี้ การคาดการณ์ของบรรดาสถาบันต่าง ๆ นั้นต่ำกว่ามาก เช่น CNBC ได้จัดทำแบบสำรวจ Wall Street กับผู้อำนวยการด้านการลงทุน นักยุทธศาสตร์ทางการเงิน และผู้จัดการพอร์ต เกือบ 100 ราย มี 44% ที่เชื่อว่าบิทคอยน์จะปิดท้ายปี 2021 ด้วยราคาที่ต่ำกว่า $30,000 ส่วนผู้ตอบแบบสอบถาม 25% เชื่อว่าราคาบิทคอยน์ในขณะนั้นจะขยับถึง $40,000 ด้านผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนใกล้ ๆ กันเลือกที่ระดับ $50,000 โดยมี 6% เท่านั้นที่เชื่อว่าราคาจะไปถึง $60,000
    เมื่อพูดถึงผลลัพธ์ พิธีกรช่อง CNBC เห็นด้วยกับภาพรวมในระยะสั้นโดยทั่วไป โดยเน้นย้ำว่า แม้แต่ระดับที่ $30,000 ภายในสิ้นปีนี้ก็จะสามารถบรรเทาความกังวลของผู้ร่วมตลาดหลายคน โดยเป็นการวางกรอบด้านล่างสุดในระยะยาว
    สำหรับการประเมินแนวโน้มของอัลท์คอยน์ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนรวมถึง นายไมเคิล โนโวกราตซ์ ผู้ก่อตั้งธนาคารคริปโต Galaxy Digital กล่าวว่า Ethereum อาจทำให้บิทคอยน์อ่อนแอลงในอนาคต และกลายเป็นฐานของการกำหนดราคาในตลาด BTC กลายเป็นสกุลเงินยอดนิยมในฐานะสื่อกลางในการออมเงิน แต่หากคุณสรุปโครงการต่าง ๆ และทิศทางการทำงานในบล็อกเชน ETH แล้ว คุณจะเห็นข้อได้เปรียบของ ETH ได้อย่างชัดเจน บรรดาเหรียญ Stablecoins, De-Fi, และ NFT ล้วนทำงานบนบล็อกเชน แพลตฟอร์ม ETH มีศักยภาพที่จะกลายเป็นรากฐานของ Web 3.0 อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นเหลืออยู่หนึ่งประเด็นคือ Ethereum กำลังเผชิญหน้ากับการแข่งขันที่ดุดันจาก Solana, Terra และ ecosystems อื่น ๆ ในทิศทางนี้
    ผู้เชี่ยวชาญจาก Goldman Sachs หนึ่งในธนาคารเพื่อการลงทุนขนาดใหญ่ที่สุดก็เชื่อเหมือนกันว่า Ethereum คือ คริปโตเคอเรนซีที่มีศักยภาพในการใช้งานจริงสูงที่สุด ซึ่งสามารถแซงหน้าบิทคอยน์ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารแห่งนี้ก็มั่นใจด้วยเช่นกันว่า ทั้งบิทคอยน อีธีเรียม หรือคริปโตเคอเรนซีสกุลใด ๆ จะไม่สามารถแซงหน้าทองคำในเรื่องของความนิยมได้ในอนาคต เพราะว่าความผันผวนที่สูงมากของสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นไม่ได้รับการยอมรับให้เป็นแหล่งหลบภัยที่ดีสำหรับนักลงทุน ดังนั้นจึงเป็นฝ่ายที่ต้องแพ้ไปในการแข่งขันกับโลหะมีค่าชนิดนี้


กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา