บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 9 - 13 สิงหาคม 2021

EUR / USD: ทุกเรื่องเกี่ยวกับตลาดแรงงาน

  • คู่ EUR/USD แสดงคลื่นรอบใหม่บนกราฟ โดยราคาขยับลงมาในสัปดาห์แรกของเดือนสิงหาคมเท่ากับที่เคยขึ้นมาในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนกรกฎาคม สถิติจากตลาดแรงงานสหรัฐฯ เป็นตัวกำหนดเทรนด์ของสัปดาห์นี้ ราคาได้ขยับในช่องด้านข้างในช่วง 1.1850-1.1900 ตลอดครึ่งแรกของสัปดาห์ ตลาดหมีพยายามที่จะกดราคาลงมายังกรอบด้านล่างเมื่อวันพุธที่ 4 ธันวาคม แต่ด้วยสถิติการจ้างงานในภาคเอกชนที่น่าผิดหวังจาก ADP ราคาได้กลับตัว และพยายามที่จะตัดทะลุกรอบด้านบน แต่ความพยายามของฝั่งกระทิงนี้กลับล้มเหลว เหตุผลเป็นเพราะดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจของภาคบริการสหรัฐฯ จาก ISM เติบโตขึ้นเป็น 64.1 ในเดือนกรกฎาคม

    หลังจากที่ราคากลับมายังระดับแนวรับที่ 1.1830 ราคาได้หยุดชะงักลงเพื่อรอฟังสถิติ Nonfarm Payrolls (NFP) ว่าด้วยจำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่สร้างขึ้นนอกภาคการเกษตร สถิตินี้โดยธรรมเนียมแล้วจะประกาศในทุกวันศุกร์แรกของเดือน และรายงานเมื่อวันที่ 6 สิงหาคม ก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนผิดหวัง นักวิเคราะห์บางคนยังเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าเป็น “ดวงดาว” เพราะอัตราการเติบโตของการจ้างงานสูงถึง 943,000 จากที่คาดการณ์คือ 870,000 นอกจากนี้ อัตราว่างงานยังลดลงจาก 5.9% เหลือ 5.4%

    ตลาดตอบสนองต่อค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นโดยทันที คำแถลงของธนาคารเฟดชี้ว่า กำหนดเวลาในการจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการเงิน (QE) และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นขึ้นอยู่โดยตรงกับการรับมือกับอัตราเงินเฟ้อและการฟื้นตัวอย่างเต็มพิกัดของตลาดแรงงาน

    หลังจากการประกาศสถิติดังกล่าว อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ รอบ 10 ปี ขยับขึ้นเป็น 1.30% ซึ่งช่วยสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ ดัชนี DXY ปรับขึ้นมา 0.60% เป็น 92.80 ในขณะที่ EUR/USD ดิ่งลงมาที่ 1.1755 และปิดตลาดรอบห้าวันทำการใกล้กับระดับ 1.1760

     สถิติจากตลาดแรงงานที่น่าประทับใจช่วยให้ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวได้อย่างมั่นใจว่าแนวทางด้านเศรษฐกิจของเขานั้นได้ผล จริงอยู่ที่ทำเนียบขาวยังไม่นิ่งนอนใจและกล่าวว่ายังมีภารกิจที่ต้องทำอีกมาก นอกจากนี้ สหรัฐฯ ยังต้องรับมือกับยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์เดลตา ซึ่งประธานาธิบดีเชื่อว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรอบใหม่จะสูงขึ้นในตอนต้น แต่จากนั้นจะขยับลงเนื่องด้วยอัตราการฉีดวัคซีน ณ ปัจจุบัน ดังนั้น เศรษฐกิจของสหรัฐฯ จะไม่ได้รับความเสียหายมากอย่างที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้

    คำพูดของนายไบเดนยังเข้าทางผู้ที่รอคอยให้ธนาคารเฟดตรึงนโยบายให้เข้มงวดในเร็ว ๆ นี้ เช่น นักวิเคราะห์จากธนาคารเพื่อการลงทุนของแคนาดา TD Securities คาดการณ์ว่าดอลลาร์จะทำผลงานได้ดีกว่าสกุลเงินของประเทศที่ธนาคารกลางฯ ยังคงเดินหน้าใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน

     ภาพรวมของคู่นี้โดยเป็นแนวโน้มกระทิงตามที่ผู้เชี่ยวชาญ 70% โหวตเห็นด้วย พวกเขาเชื่อว่าคู่ EUR/USD ตั้งใจจะไปทดสอบระดับต่ำสุดของเดือนมีนาคมที่ 1.1700 อีกครั้ง และหากทำสำเร็จ ราคาจะเข้าสู่แนวรับสำคัญในโซน 1.1600-1.1610 คำทำนายนี้ได้รับการสนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนทั้งกรอบ H4 และ D1 แต่ออสซิลเลเตอร์เน้นย้ำถึงความอ่อนแอของแนวโน้มกระทิง และมีสัญญาณ 10% ที่มีท่าทีเป็นกลางบน H4 และ 15% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง oversold จำนวนที่มากกว่าอยู่บนกรอบ D1 ซึ่งสัญญาณ 35% ชี้ว่าราคาจะปรับฐานอย่างรวดเร็วขึ้นด้านบน ในส่วนผู้เชี่ยวชาญ 30% ที่เหลือก็คาดการณ์ในลักษณะเดียวกัน พวกเขามองว่า ราคาอาจจะไม่ได้แค่ปรับฐานเท่านั้น แต่ในตอนต้นจะกลับไปสู่กรอบ 1.1850-1.1900 และจากนั้นจะขยับขึ้นมาที่ 1.2000 แต่แน่นอนว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วัน

    สำหรับสถิติมหภาคในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราสามารถเน้นเรื่องการประกาศสถิติตลาดผู้บริโภคในเยอรมนีและสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 11 สิงหาคม นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของ University of Michigan จะประกาศปิดท้ายสัปดาห์ในวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม โดยมีการคาดการณ์ว่าดัชนีจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และจะช่วยให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

GBP/USD: รอคอยการเริ่มต้นของมาตรการ QE

  • ธนาคารแห่งชาติอังกฤษจัดการประชุมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม ซึ่งไม่ปรากฏข่าวน่าประหลาดใจตามความคาดหมาย แม้ว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวในอัตราที่ดีจากภาวะการแพร่ระบาดของโรคและภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น หลักเกณฑ์นโยบายทางการเงินพื้นฐานทั้งหมดไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ธนาคารกลางฯ คงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับต่ำสุดในประวัติศาสตร์คือ 0.1% และมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ที่ £895 พันล้านปอนด์

     GBP/USD ไม่เคยตัดทะลุระดับของวันที่ 30 กรกฎาคม และราคาคงตัวอยู่ในกรอบ 1.3870-1.3935 ตลอดทั้งสัปดาห์ มีความพยายามควบคู่ไปกับค่าเงินยูโรที่จะตัดผ่านกรอบด้านบนเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม แต่ก็ไม่เป็นผล สถิติที่แข็งแกร่งจากสหรัฐฯ ทำให้ราคากลับมาสู่ด้านล่างของกรอบ และปิดตลาดสุดท้ายที่ระดับ 1.3875

     ความสนใจหลักของนักลงทุนไม่ใช่การตัดสินใจที่คาดเดาได้ของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ แต่เป็นความเห็นที่ตามมาจากผู้บริหารเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินในอนาคต อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เศรษฐกิจอังกฤษขยับในทิศทางการฟื้นตัวอย่างมั่นใจ สถิติชี้ให้เห็นว่า อัตราเงินเฟ้อในเดือนมิถุนายนขยับขึ้นเป็น 2.5% สูงกว่าระดับเป้าหมายคือ 2% รัฐบาลสามารถรับมือกับคลื่นการระบาดของไวรัส COVID-19 รอบใหม่ได้ จึงยังไม่มีการประกาศมาตรการกักตัวหรือล็อกดาวน์รอบใหม่ และแม้ว่า นายเบนจามิน บรอดเบนต์ รองผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษจะเอ่ยคำพูดที่น่าฉงนว่ามาตรการคุมเข้ม “ปานกลางนั้นอาจจำเป็น (!)” แต่ก็ไม่ได้ทำให้นักลงทุนประทับใจแต่อย่างใด เนื่องจากเขายังกล่าวด้วยว่าอัตราเงินเฟ้อในประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 4% ใน Q4 ปี 2021 และ Q1 ปี 2022

    ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญ 75% จึงมองว่า สัญญาณใด ๆ เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านจากมาตรการ QE เป็นมาตรการที่เข้มงวดขึ้นนั้นจะเพียงพอที่จะดันคู่ GBP/USD ขึ้นไปยังระดับ 1.4000 ในส่วนออสซิลเลเตอร์ 60% เห็นด้วยกับท่าทีนี้ แต่มีเพียงอินดิเคเตอร์เทรนด์ 40% เท่านั้นบนกรอบ D1 ในส่วนผลวิเคราะห์จากอินดิเคเตอร์บน H4 ยิ่งให้ภาพที่น่าสับสนกว่า การวิเคราะห์กราฟบนกรอบเวลานี้ชี้ว่าในตอนแรกราคาจะขยับลงมายังระดับ 1.3800 และจากนั้นจะกลับสู่ระดับสูงสุดของช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่โซน 1.3980 ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าระดับแนวรับและแนวต้านระหว่างทางนี้จะอยู่ในช่วง 1.3870-1.3935

    สำหรับเหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราอาจเน้นการประกาศสถิติเบื้องต้นของ GDP สหราชอาณาจักรใน Q2 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม ตัวเลขนี้คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากจากลบ 1.6% เป็นบวก 4.8% และหากเป็นไปตามการคาดการณ์ จะถือเป็นแรงหนุนที่ดีสำหรับเงินปอนด์ จึงอาจเป็นสัญญาณให้เริ่มลดมาตรการ QE

USD/JPY: ขึ้นเหนือตามผลตอบแทนพันธบัตร

  • ตั้งแต่วันพุธที่ 4 สิงหาคม เงินเยนอ่อนค่าลงไป 150 จุด คู่ USD/JPY กระโดดขึ้นมาจาก 108.71 เป็น 110.21 ในเวลาเพียงสามวัน และแน่นอนเป็นอีกครั้งที่อาจต้องกล่าวโทษตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งขึ้น และพาผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอเมริกาขึ้นไปด้วย อย่างที่ระบุข้างต้น ดัชนีดังกล่าวขยับเป็น 1.30% ซึ่งส่งผลกระทบอย่างหนักต่อค่าเงินญี่ปุ่น

    ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (55%) คาดการณ์ว่าราคาคู่นี้จะกลับไปสู่แนวรับที่ 109.00 อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ 45% มองว่า แรงขาขึ้นยังไม่หมดลง โดยเฉพาะผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลรอบ 10 ปี ที่ปรับขึ้นต่อเนื่อง การคาดการณ์ดังกล่าวนี้ได้รับการสนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% บนทั้งสองกรอบเวลา 65% ของออสซิลเลเตอร์บน H4 และ 50% บน D1 การวิเคราะห์กราฟบน D1 คาดการณ์ว่า ราคาคู่นี้จะขยับถึงระดับ 112.00 ในที่สุด ระดับแนวต้านระหว่างทางสู่เป้าหมายนี้อยู่ที่ 110.65, 111.10 และ 111.65

คริปโตเคอเรนซี: หรือคริปโตฤดูหนาวไม่มีอีกแล้ว?

  • ตลาดสกุลเงินดิจิทัลดูสดใส นักลงทุนหวังว่าช่วงหน้าหนาวของคริปโตได้ผ่านไปแล้ว และแทนที่จะเป็นฤดูหนาวคริปโต ฤดูใบไม้ผลิคริปโตได้มาถึงแล้วในที่สุด จริงอยู่ที่ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมานั้นเริ่มมีใบไม้สีเขียวหลายใบปรากฏขึ้นบน “ต้นไม้” ของบิทคอยน์ ซึ่งมีมากกว่าในช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่เต็มไปด้วยใบไม้สีเหลืองและแดง

    หลังจากราคาดีดตัวจากระดับต่ำสุดที่ $29,300 เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม ราคาคู่ BTC/USD ขยับขึ้นมาอีกประมาณ 40% และซื้อขายอยู่ในโซน $41,000-42,500 ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ มูลค่ารวมในตลาดคริปโตเติบโตขึ้น 40% เช่นเดียวกันในช่วงเวลานี้: จาก $1.19 เป็น $1.67 ล้านล้านดอลลาร์ ในส่วนดัชนี Crypto Fear & Greed Index ในที่สุด ดัชนีได้ขยับจากโซนน่ากลัวอย่างยิ่งสู่โซนตรงกลาง และขึ้นมาจาก 10 จุด เป็น 52 จุด

    นอกเหนือไปจากราคา คำพูดจากเหล่าผู้มีอิทธิพลคนสำคัญและสถิติมหภาคช่วยกระตุ้นทัศนคติที่สดใสในตลาดเช่นกัน อย่าลืมว่าปัจจัยเหล่านี้ถือเป็นแรงผลักดันสำคัญให้บิทคอยน์ทะยานขึ้นเมื่อช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา เช่น นายไมเคิล เซย์เลอร์ หัวหน้า MicroStrategy กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ Bloomberg TV ว่า บิทคอยน์มี “ศักยภาพในการเติบโตมากที่สุดและมีความเสี่ยงต่ำสุด” และดังนั้นอาจกลายเป็น “ทรัพย์สินแห่งอนาคต” ซึ่งทุกคนจะเป็นเจ้าของตั้งแต่นักลงทุนรายย่อยไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่และรัฐบาล เราเห็นอนาคตที่ทองคำดิจิทัลกลายเป็นพื้นฐานนวัตกรรมทางเทคโนโลยีในบริษัท Apple, Amazon และ Facebook และจะปรากฏอยู่บนงบดุลของบริษัท เมือง รัฐ และประเทศต่าง ๆ” อธิบายโดยเศรษฐีพันล้านรายนี้

    นักวิเคราะห์จากหนึ่งในสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ Bank of America ยืนยันความเห็นของนายเซย์เลอร์อย่างอ้อม ๆ พวกเขาเชื่อว่า การยอมรับบิทคอยน์เป็นสื่อกลางในการชำระเงินอย่างเป็นทางการในเอล ซัลวาดอร์ อาจช่วยให้ประเทศนี้มีข้อได้เปรียบที่สำคัญหลายประการ สิ่งนี้จะช่วยลดต้นทุนการโอนเงินจากต่างประเทศ ซึ่งคิดเป็นเกือบหนึ่งในสี่ของ GDP ประเทศเอล ซัลวาดอร์ และจะส่งผลในทางบวกต่อรายได้ของประชาชนประเทศนี้ นักวิเคราะห์เรียกการส่งเสริมประชาธิปไตยให้กับบริการทางการเงินเป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบของการใช้งานบิทคอยน์ เนื่องจาก  70% ของประชากรวัยผู้ใหญ่ในประเทศไม่มีบัญชีธนาคาร เอล ซัลวาดอร์ จึงสามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ โดยกลายเป็นศูนย์กลางการขุดเหรียญคริปโตขนาดใหญ่ได้

    State Street ธนาคารที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับสองในสหรัฐฯ โดยมีพอร์ตการลงทุนมูลค่า $3.1 ล้านล้านดอลลาร์ ธนาคารนี้วางแผนที่จะเริ่มให้บริการที่เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอเรนซี ซึ่งเป็นการช่วยให้ภาคเอกชนดำเนินธุรกรรมกับสินทรัพย์ดิจิทัล และให้ข้อมูลเกี่ยวกับระดับราคาที่เหมาะสมที่สุดในการเข้าสู่ตลาดคริปโต

    แต่แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ State Street นายไมเคิล มีบัค ซีอีโอของบริษัทชำระเงินยักษ์ใหญ่ Mastercard กล่าวว่า คริปโตเคอเรนซีจะต้องเข้าสู่ภาคธนาคารขนานใหญ่ นอกจากนี้ บริษัทของเขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อเป็นส่วนสำคัญในแวดวงคริปโต "Mastercard พร้อมที่จะเป็นตัวช่วยให้กับหน่วยงานทางการสำหรับภารกิจนี้ เราพร้อมที่จะทดลองและทดสอบสกุลเงินดิจิทัล เพื่อที่ท้ายที่สุดธนาคารจะเริ่มทำงานร่วมกับเงินคริปโต” กล่าวโดยนายไมเคิล มีบัค และเขาเสริมด้วยว่า Mastercard จะอนุญาตผู้ใช้งาน 1 พันล้านคนให้ชำระเงินด้วยสินทรัพย์ดิจิทัลในกว่า 30 ประเทศรอบโลกในปี 2021

    ทั้งนี้อย่าลืมว่า Visa อีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ก็กำลังดำเนินงานเพื่อผนวก stablecoins ในเศรษฐกิจโลกด้วยเช่นกัน

    ในส่วนของสถิติ Glassnode ทีมวิจัยชี้ว่า จำนวนที่อยู่บิทคอยน์รวมที่เปิดใช้งานเพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้คิดเป็นประมาณ 30% ในเวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ และกระเป๋าเงิน "ปลาวาฬ" สะสมเหรียญได้ 9.23 ล้าน BTC เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์

    ดัชนีที่ทำนายว่าราคาจะขยับขึ้นต่อไปอีกนั้นคาดการณ์จากอัตราส่วนสัญญา put และ call ในตลาดตราสารอนุพันธ์ของบิทคอยน์ มูลค่าที่ต่ำของดัชนีนี้ชี้ว่านักลงทุนสนับสนุนให้ราคาขึ้น และดัชนีนี้ลงมายังระดับต่ำสุดในรอบ 8 เดือน เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม ซึ่งต่ำกว่าระดับเมื่อเดือนกรกฎาคม เมื่อครั้งราคา BTC พุ่งขึ้นเหนือ $60,000

    ดัชนีแนวโน้มแสดงให้เห็นว่ามีโอกาส 30% ที่ BTC จะขยับถึง $46,000 ในอนาคตอันใกล้นี้ นอกจากนี้ ดัชนียังชี้ว่ามีความเป็นไปได้โดยรวมที่ 28.3% ที่บิทคอยน์จะขยับอยู่ในช่วงราคา $50,000 และ $55,000

    สภาพอารมณ์ของนักวิเคราะห์ดูสดใส 60% ของนักวิเคราะห์โหวตว่าราคาจะเติบโตขึ้นไปเหนือระดับ $46,000 และในทางกลับกัน 20% คาดการณ์ว่า ราคาจะลดลงมายังบริเวณ $30,000 และส่วนที่เหลือ 20% โหวตให้กับเทรนด์ด้านข้างที่ช่วง $35,000-42,000

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา