บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 20-24 กันยายน 2021

EUR/USD: รอการตัดสินใจของธนาคารเฟดสหรัฐฯ

  • ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และคู่ EUR/USD ขยับลงทิศใต้ โดยเริ่มตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13 กันยายน ที่ระดับ 1.1810 ราคาได้ปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.1730 การเคลื่อนที่ดังกล่าวไม่ได้มีกำลังแรงมากนัก แค่เพียง 80 จุดเท่านั้น ทั้งนี้ เมื่อสองสัปดาห์ก่อนหน้าราคาอยู่ที่ 1.1908 เมื่อวันที่ 3 กันยายนที่ผ่านมา

    ดัชนียอดขายปลีกของสหรัฐฯ ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก โดยเพิ่มขึ้นมา 0.7% ในเดือนสิงหาคม แม้ว่าจากการคาดการณ์ ตัวเลขดังกล่าวน่าจะลดลงที่ 0.8% ด้านจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานซึ่งคาดว่าจะลดลง 72K กลับลดลงถึง 187K

    สถิติที่แข็งแกร่งเช่นนี้ยิ่งเพิ่มความเป็นไปได้ที่ธนาคารเฟดจะประกาศการจำกัดมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) มูลค่า $120 พันล้านดอลลาร์เหลือ 55% ในการประชุมครั้งถัดไประหว่างวันที่ 21-22 กันยายน

    ผลจากการตีพิมพ์ดอลลาร์โดยธนาคารเฟดตลอดช่วงเวลาปีครึ่งที่ผ่านมา หนี้สาธารณะสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 130% ของ GDP และภาวะขาดดุลงบประมาณสูงเกินล้านล้านดอลลาร์ นี่จึงไม่ใช่แค่การจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการคลังและสินเชื่อเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการรัดกุมนโยบายทางการคลังอย่างเข้มงวด ซึ่งพรรคเดโมแครตและรัฐบาลของประธานาธิบดีไบเดนได้นำเสนอร่างการปฏิรูปภาษีต่อสภาคองเกรสสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงมาตรการการขึ้นภาษีรายได้ของรัฐ หากร่างดังกล่าวผ่านสภา อัตราภาษีในรัฐต่าง ๆ เช่น นิวยอร์ก หรือ แคลิฟอร์เนีย อาจเพิ่มขึ้นเกิน 60%. นอกจากนี้ยังมีการเสนอภาษีความมั่งคั่ง 3% เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ

    ตลาดหุ้นตอบสนองต่อข่าวทั้งหมดเหล่านี้ด้วยการเทขายอย่างคึกคัก ดัชนี S&P500 ปรับลดลงจาก 4,550 เหลือ 4435 ด้านดัชนี Dow Jones ปรับลดลงจาก 35517 มาที่ 34510 ในเวลาสองสัปดาห์ ราคาทองคำก็ลดลงมา 4.5% เช่นกัน

    สำหรับยุโรปแล้ว ความกังวลที่แท้จริงนั้นเกี่ยวข้องกับราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้นจนทำสถิติ ซึ่งในจุด ๆ หนึ่ง ราคาขึ้นไปถึง $970 ต่อ 1,000 ลูกบาศก์เมตร (สูงกว่าปีที่แล้ว 2.8 เท่า) ปริมาณพลังงานสำรองที่จำเป็นคงไว้ที่เพียง 75% ท่ามกลางการรับมือกับฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวที่กำลังมาถึง (50% จากการประมาณการโดยแหล่งอื่น ๆ) ภาวะการขาดแคลนพลังงานเช่นนี้อาจยิ่งกระตุ้นให้ราคาพุ่งสูงขึ้น และการผลิตลดลง ประกอบกับความกังวลเรื่องภาวะถดถอยรอบใหม่ซึ่งจะไม่ส่งผลดีต่อค่าเงินยูโรอย่างแน่นอน

    ณ เวลานี้ เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์ที่กำลังจะมาถึงจะเป็นการประชุมของธนาคารเฟดในวันที่ 21-22 กันยายน คาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 0.25% ดังนั้น สิ่งสำคัญแรกคือ นักเทรดจะจับตารอดูสัญญาณการตัดสินใจอย่างเป็นรูปธรรมเกี่ยวกับการเริ่มจำกัดมาตรการ QE และอย่างที่เราเคยเขียนไว้ กรรมการบริหารธนาคารหลายคนเริ่มมีท่าทีเข้มงวดและสนับสนุนให้ลดนโยบายการซื้อสินทรัพย์ตั้งแต่ปีนี้ และหากฝ่ายนโยบายเข้มงวดเป็นผู้ชนะในการประชุมครั้งนี้ เราจะได้เห็นดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว และดัชนีหุ้น ตลอดจนราคาทองคำปรับลดลง

    ในตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญ 60% ที่โหวตว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น และคู่ EUR/USD จะขยับลดลง ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 30% มองตรงกันข้าม โดยไม่เชื่อว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นในการประชุมครั้งถัดไปของธนาคารเฟด และราคาจะกลับขึ้นทิศเหนือ ส่วนนกวิเคราะห์ที่เหลือ 10% ไม่ให้คำทำนายใด ๆ

    ผลการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 มีดังนี้ ในส่วนออสซฺิลเลเตอร์ 75% ให้สัญญาณสีแดงและ 25% ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในช่วง oversold ส่วนด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์มี 100% ชี้ไปทางทิศใต้

    ระดับแนวรับในที่นี้ ได้แก่ 1.1705, 1.1665, 1.1600 และ 1525 ส่วนแนวต้าน ได้แก่ 1.1770, 1.1800, 1.1845, 1.1908, 1.1975, 1.2025 และ 1.2100

    นอกเหนือไปจากการประชุมของธนาคารเฟด เหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ได้แก่ การประกาศสถิติ PMI ของเยอรมนีและยูโรโซนในวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน

GBP/USD: เหยี่ยวธนาคารอังกฤษ vs เหยี่ยวธนาคารเฟด

  • แม้ว่าเงินปอนด์อังกฤษจะอ่อนค่าลงเทียบกับดอลลาร์ แต่ก็ยังคงตัวได้ดีกว่ายูโร ราคา GBP/USD เป็นไปตามที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดการณ์ไว้ (60%) โดยราคาได้ขยับขึ้นเมื่อวันจันทร์และทดสอบระดับ 1.3900 ในวันถัดมา โดยมีแรงหนุนจากสถิติที่ดีของตลาดแรงงานสหราชอาณาจักร ตามมาด้วยการกลับทิศทางค่อย ๆ ลดลง และปิดตลาดที่ 1.3730 ดังนั้น ราคาจึงไม่สามารถทำระดับต่ำสุดในรอบสองสัปดาห์ได้สำเร็จที่ 1.3725 แม้ว่าจะพยายามเป็นอย่างมาก

    คู่ GBP/USD แทบจะไม่ตอบสนองต่อสถิติเงินเฟ้อที่คาดการณ์ข้างต้นในสหราชอาณาจักร (CPI เพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนสิงหาคม เทียบกับ 2.0% ในเดือนกรกฎาคม และตัวเลขคาดการณ์ที่ 2.9%) อย่างไรก็ตาม ดัชนีดังกล่าวยิ่งเสริมจุดยืนของฝั่งเหยี่ยว (นโยบายการเงินแบบหดตัว) ของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ ณ ตอนนี้ แรงของฝั่ง “เหยี่ยว” และ “นกพิราบ” นั้นเท่ากัน นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติอังกฤษ และกรรมการอีกสี่คนสนับสนุนให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยและยังมีกรรมการอีกสี่คนที่คัดค้านในที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายทางการเงิน (MPC) ครั้งล่าสุด

    นักวิเคราะห์เชื่อว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 น่าจะช่วยสนับสนุนเงินปอนด์และให้คู่ GBP/USD ขยับลดลงอย่างจำกัด หากการคาดการณ์ดังกล่าวมีความชัดเจนขึ้น เงินปอนด์น่าจะแข็งค่าขึ้นได้อย่างแข็งแกร่ง

    ในสัปดาห์นี้ เราจะได้จับตาดูไม่ใช่แค่การประชุมที่สำคัญของธนาคารเฟดสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังรวมถึงการประชุมของธนาคารแห่งชาติอังกฤษในวันพฤหัสบดีที่ 23 กันยายน ซึ่งนักลงทุนยังอยากจะได้รับสัญญาณกำหนดเวลาในการคุมเข้มนโยบายทางการเงิน และในที่นี้ การคาดการณ์ตรงกันข้ามกันกับคู่ EUR/USD ซึ่งผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่เห็นด้วยกับเงินปอนด์ โดยมีนักวิเคราะห์ 65% โหวตให้กับแนวโน้มการเติบโตของคู่ GBP/USD และ 35% มองว่าราคาจะขยับลดลงต่อเนื่อง แต่ในส่วนการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิค 100% เห็นด้วยกับคู่ก่อนหน้า

    แนวต้านสำหรับคู่นี้ ได้แก่ 1.3765, 1.3810, 1.3910 จากนั้นคือ 1.3960, 1.4000 และ 1.4100 ส่วนฝั่งตลาดกระทิงตั้งเป้าจะพิชิตระดับสูงสุดของวันที่ 1 มิถุนายนที่ 1.4250 แนวรับอยู่ในโซน 1.3700-1.3725, 1.3665 และ 1.3600

USD/JPY: ศูนย์อีกครั้ง

  • สัปดาห์ที่จะถึงนี้เรียกได้อย่างปลอดภัยว่าเป็นสัปดาห์แห่งธนาคารกลาง นอกเหนือจากการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ และธนาคารแห่งชาติอังกฤษแล้ว นักลงทุนยังจะได้รับทราบมุมมองของธนาคารแห่งชาติจีนและธนาคารกลางญี่ปุ่นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในประเทศในวันพุธที่ 22 กันยายน รวมถึงการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของค่าเงินประเทศอีกด้วย โดยมีความน่าจะเป็นใกล้เคียง 100% ที่เงินเยนจะคงที่ที่อัตราเดิม -0.1% แต่ผู้บริหารธนาคารกลางญี่ปุ่น่อาจต้องครุ่นคิดหนัก เพราะพวกเขาจะต้องเติมเต็มภาวะขาดดุลของเศรษฐกิจกว่า 22 ล้านล้านเยน (ประมาณ $200 พันล้านดอลลาร์)

    อย่างไรก็ดี คู่ USD/JPY ตอบสนองต่อตัวเลขและข่าวต่าง ๆ อย่างค่อนข้างสงบ โดยไม่มีความตื่นเต้นใด ๆ บนฝั่งที่เงียบสงบของตลาดญี่ปุ่น

    คู่ USD/JPY ขยับตามแนว 110.00 มาตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยมีความพยายามไม่กี่ครั้งที่จะออกนอกกรอบ 108.30-111.00 และในครั้งนี้ หลังจากราคาเปิดตลาดห้าวันทำการที่ 109.85 ราคาก็ได้ปิดตลาดแทบจะบริเวณเดียวกันกับที่เริ่มต้นคือ 109.95 ในขณะเดียวกับ การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญก็ถือว่าถูกต้อง ซึ่งส่วนใหญ่ (50%) เห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และมี 35% คงท่าทีเป็นกลาง ผลปรากฏว่าทุกอย่างเป็นไปตามการคาดการณ์นี้อย่างชัดเจน ในตอนต้นราคาได้ขยับลงมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นเมื่อราคาขยับถึงแนวรับระยะกลางที่สำคัญที่ 109.10 ก็ไม่สามารถตัดทะลุได้สำเร็จ ทำให้ราคากลับทิศทางขึ้นไป

    ราคาคู่นี้ได้รับแรงหนุนจากสถิติยอดขายปลีกที่เป็นบวกของสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า เงินทุนญี่ปุ่นที่ไหลออกสู่พันธบัตรต่างประเทศช่วงพยุงไม่ให้ราคาดิ่งลงต่อ นักลงทุนชาวญี่ปุ่นแทบจะไม่ได้ซื้อพันธบัตรจากประเทศอื่น ๆ ในปี 2021 แต่ผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากของพันธบัตรสหรัฐฯ บังคับให้พวกเขาต้องซื้อตราสารหนี้มูลค่ากว่า 1.76 พันล้านเยนเมื่อวันพฤหัสบดี ซึ่งกลายเป็นสถิติใหม่นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว

    การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญสำหรับอนาคตอันใกล้มีดังนี้: 50% ของผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยกับฝั่งตลาดหมีอีกครั้ง โดย 35% โหวตให้กับฝั่งตลาดกระทิง และ 15% มีท่าทีเป็นกลาง ด้านอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 ให้ภาพที่น่าสับสนโดยสิ้นเชิงหลังจากผลลัพธ์ในรอบสัปดาห์ดังกล่าว โดยมีฝั่งสีเขียวได้เปรียบในหมู่อินดิเคเตอร์เทรนด์

    ระดับแนวรับยังคงไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ที่: 109.60, 109.10, 108.70 และ 108.30 ส่วนความฝันของตลาดหมี (ซึ่งเห็นแล้วว่าไม่สำเร็จ) คือการทดสอบระดับต่ำสุดของเดือนเมษายนอีกครั้งที่ 107.45 ด้านแนวต้านที่ใกล้ที่สุด ได้แก่ 110.15, 110.25, 110.55, 110.80, 111.00 และ 111.65 ส่วนเป้าหมายสูงสุดของฝั่งกระทิงยังคงเดิม คือ การพิชิตระดับ 112.00

คริปโตเคอเรนซี: มืดมนจนเขียวเล็กน้อย

  • เอลซัลวาดอร์ได้บังคับใช้กฎหมายซึ่งให้การรับรองบิทคอย์ในฐานะสื่อกลางการชำระเงินที่ถูกกฎหมายเมื่อวันอังคารที่ 7 กันยายนที่ผ่านมา และราคาบิทคอยน์ปรับลดลงมา 18% ในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จาก $52,870 เหลือ $43,205 ตลาดพยายามฟื้นตัวอย่างช้า ๆ หลังจากวันที่ “มืดมน” วันนั้น ณ ขณะที่เขียนบทรีวิวฉบับนี้ ราคาคู่ BTC/USD ได้ขยับขึ้นมาที่โซน $47,300-48,000 แน่นอนว่าไม่มากเท่าไรนัก สัปดาห์ที่ผ่านมาจึงอธิบายได้ว่าเป็นสัปดาห์ที่ “เขียวเล็กน้อย” นั่นเอง

    ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับขึ้นมา 2 จุดเท่านั้น จาก 46 เป็น 48 และอยู่ในโซนตรงกลาง มูลค่ารวมในตลาดคริปโตยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไรที่ $2.120 ล้านล้านดอลลาร์เทียบกับ $2.100 ล้านล้านเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า

    ภูมิหลังข่าวต่าง ๆ ก็ดู “เขียวเล็กน้อย” เช่นกัน ข่าวที่น่าสนใจมากที่สุด คือ ปานามาได้ตัดสินใจที่จะเดินตามรอยตัวอย่างของเอลซัลวาดอร์ โดยมีการเสนอร่างกฎหมายคริปโตเคอเรนซีต่อสภาในประเทศ ในปัจจุบัน ปานามาใช้ดอลลาร์สหรัฐในฐานะสื่อกลางในการชำระเงิน หากกฎหมายดังกล่าวผ่านสภา จะมีโอกาสที่ประเทศนี้จะใช้ BTC และ ETH แต่ข้อแตกต่างไปจากเอลซัลวาดอร์ก็คือ ปานามาเลือกที่จะไม่บังคับการใช้งานคริปโตเคอเรนซีดังกล่าว กล่าวคือ ประชาชนและบริษัทต่าง ๆ จะสามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระว่าพวกเขาจะรับชำระเงินคริปโตหรือไม่ หรือจะจำกัดการชำระเงินแค่เพียงดอลลาร์

    กฎหมายฉบับนี้ยังไม่ผ่านความเห็นชอบ แต่นักวิเคราะห์เริ่มสงสัยแล้วว่าตลาดจะตอบสนองอย่างไรหากมีการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว เราจะได้เห็นวันที่ “มืดมน” อีกครั้งบนปฏิทินเหมือนในกรณีของเอลซัลวาดอร์หรือไม่?

    อีกข่าวหนึ่งคือ MicroStrategy ผู้ให้บริการซอฟต์แวร์เพื่อการวิเคราะห์ได้เข้าซื้อบิทคอยน์เพิ่มขึ้น 5,050 BTC ที่ราคา $48,099 ซึ่งประกาศโดย นายไมเคิล เซย์เลอร์ ประธานบริษัท และ ณ วันที่ 12 กันยายน บริษัท MicroStrategy ครอบครอบบิทคอนย์จำนวน 114,042 BTC โดยคิดเป็นเงินที่ใช้ซื้อไปทั้งสิ้น $3.16 พันล้านดอลลาร์ ที่ค่าเฉลี่ย $27,713 ต่อเหรียญ

    บริษัทสหรัฐฯ อื่น ๆ ที่ทำการลงทุนขนาดใหญ่ในคริปโตเคอเรนซีคล้ายกันนี้ ได้แก่ บริษัท Square ของแจ็ค ดอร์ซีย์ และ Tesla ของอีลอน มัสก์ และในตอนนี้คาดว่าจะมีบริษัทเฮดจ์ฟันด์ Brevan Howard Asset Management ของเศรษฐีพันล้าน อลัน โฮเวิร์ด เข้าร่วมด้วย ซึ่งมีการเปิดตัวแผนก BH Digital สำหรับวัตถุประสงค์นี้โดยเฉพาะ

    เหล่าผู้ทรงอิทธิพลยังคงทำนายอนาคตอันยิ่งใหญ่ของบิทคอยน์ต่อไป นายโรนัลด์-ปีเตอร์ สเตอเฟอร์เล นักเศรษฐศาสตร์ชาวออสเตรียและหุ้นส่วนผู้บริหารบริษัทการลงทุน Incrementum AG กล่าวว่า “ในอีก 5-10 ปี บิทคอยน์จะขยับขึ้นสู่ระดับที่เราไม่สามารถจินตนาการได้ในขณะนี้” ในขณะนี้ เขาเน้นย้ำว่าระยะถัดไปของการเติบโตของบิทคอยน์นั้นยังไม่เริ่มขึ้น เขามองว่า แนวโน้มขาขึ้นของราคาบิทคอยน์จะเกิดขึ้นเมื่อสินทรัพย์กลายเป็น “สื่อกลางในการป้องกันภาวะเงินเฟ้อที่เกิดขึ้นจากการทดลองเงินขนานใหญ่"

    นางเคธี วูด ซีอีโอของบริษัท Ark Invest คาดว่าบิทคอยน์จะขยับขึ้นถึง $500,000 ภายในห้าปี ในบทสนทนาของเธอกับ CNBC เธออธิบายว่า การคาดการณ์ของเธอนั้นจะเป็นจริงได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าบริษัทต่าง ๆ จะเริ่มจัดสรรเงินบิทคอยน์เป็นเงินสำรอง และนักลงทุนรายสถาบันจะตัดสินใจกระจายความเสี่ยงโดยวางเงิน 5% ในบิทคอยน์หรือไม่

    เคธี วูด ยังเน้นย้ำถึงศักยภาพของอีธีเรียม เธอกล่าวว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะเดินหน้าต่อกับยุทธศาสตร์บิทคอยน์ 60% และอีธีเรียม 40%”

    ในส่วนการคาดการณ์ระยะสั้นกว่า นายทอน ไวส์ กูรูนักเทรดคริปโตเชื่อว่า BTC/USD จะทำการปรับฐานครั้งปัจจุบันอย่างเสร็จสมบูรณ์ภายในเร็ว ๆ นี้ และจากนั้นราคาจะพุ่งสูงขึ้นสู่เลขหกหลักอย่างรวดเร็ว

    นายไวส์อธิบายว่า การเคลื่อนที่ล่าสุดของราคา BTC นั้นคล้ายกันกับเมื่อเดือนกรกฎาคม เมื่อราคาเหรียญดิ่งลงมายังระดับต่ำสุดในรอบหนึ่งปีต่ำกว่า $29,000 และจากนั้นก็ขยับขึ้นมาอย่างรุนแรงที่ $52,000 ภายในเวลาน้อยกว่าหกสัปดาห์

    เขามองว่าบิทคอยน์มีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงมา และให้โอกาสนักเทรดได้เข้าซื้อที่บริเวณ $40,000 หลังจากนั้นราคาน่าจะตีกลับอย่างรวดเร็วจากระดับแนวรับดังกล่าวขึ้นไป

    “ระดับต่ำสุดที่ $40,000 จะมาถึงในสัปดาห์หน้านี้หรืออาจชะลอไปจนถึงต้นเดือนตุลาคม จากนั้นเราจะฝ่าระดับดังกล่าวขึ้นไปสู่ $50,000 ในช่วงกลางถึงปลายเดือนตุลาคม และเราจะไปถึงราคาที่ $65,000 ภายในต้นเดือนพฤศจิกายน และน่าจะ $100,000 ภายในเดือนธันวาคมนี้”

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา