บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 20 - 24 ธันวาคม 2021

EUR/USD: ข่าวเก่าจากธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรป

  • สัปดาห์ที่แล้วเป็นสัปดาห์แห่งธนาคารกลาง ธนาคารเฟดสหรัฐฯ จัดการประชุมเมื่อวันพุธที่ 15 ธันวาคม ซึ่งเป็นการประชุมครั้งสุดท้ายของปี การประชุมของธนาคารกลางยุโรปและของอังกฤษจัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม และของญี่ปุ่นปิดท้ายสัปดาห์ในวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคมที่ผ่านมา

    มีโมเดลการเทรดอย่างหนึ่งที่เรียกว่า FIFO: หรือย่อมาจาก “first in, first out” (เข้าก่อน ออกก่อน) ดังนั้น เราจะปฏิบัติตามนี้ และจะเริ่มพิจารณาผลการประชุมของธนาคารแต่ละแห่งตามลำดับที่จัดขึ้น

    อันดับแรกเป็นการประชุมของคณะกรรมการ FOMC (Federal Open Market Committee หรือคณะกรรมการตลาดเสรี) ของธนาคารเฟดสหรัฐฯ นักลงทุนบางคนคาดว่าจะได้เห็นการตัดสินใจที่สุดโต่ง และท่าทีของผู้แทนธนาคารเฟดเมื่อวันพุธปรากฏว่าดูเข้มงวดกว่าที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ EUR/USD ขยับลงมายังกรอบด้านล่างในรอบสามสัปดาห์ อย่างไรก็ตาม เมื่อราคาขยับถึง 1.1220 ก็มีการกลับตัวและดอลลาร์ก็เริ่มเสียหลัก

    ตลาดตระหนักว่า จริง ๆ แล้ว หลักเกณฑ์ทางนโยบายทางการเงินเกือบทุกหลักเกณฑ์ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง มีเพียงมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) เท่านั้นที่มีการทบทวน โดยลดอัตราการซื้อสินทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก $15 พันล้าน เป็น $30 พันล้านเหรียญต่อเดือน ซึ่งคาดว่ามาตรการนี้จะสิ้นสุดลงโดยสมบูรณ์ในช่วงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2022

    ภาพรวมของตลาดแรงงานดีขึ้นเล็กน้อย แต่ยังมาพร้อมกับความกังวลเกี่ยวกับโอกาสที่จะเกิด “ไวรัสสายพันธุ์ใหม่” อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 2022 อาจสูงขึ้นเล็กน้อย ไม่ใช่ที่ 2.3% อย่างที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า แต่เป็น 2.7% อัตราเงินเฟ้อสำหรับปี 2023 คาดการณ์ว่าจะเติบโตขึ้นเพียง 0.1% และจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงในปี 2024

    Financial Times ชี้ว่า แม้ว่าจะมีคำแถลงที่ดูดุดัน ธนาคารเฟดยังคงพิจารณาภาวะเงินเฟ้อว่าเป็นปรากฏการณ์ชั่วคราว และคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาสู่กรอบเป้าหมายภายในสองปี และจึงค่อย ๆ ขึ้นอัตราดอกเบี้ย

    อัตราดอกเบี้ยยังคงที่ที่ระดับเดิมที่ 0.25% ในที่ประชุมครั้งล่าสุด สำหรับแผนการของธนาคารในปีหน้านี้ กราฟจุดของธนาคารฯ ชี้ว่าน่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งหมดสามครั้งในปีหน้า แต่นี่เป็นเพียงการแถลงความประสงค์ที่ยังคงต้องอาศัยการพิจารณาสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโดยรวมด้วยเช่นกัน

    โดยรวมแล้ว คำแถลงทั้งหมดจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังไม่มีอะไรเจาะจงในเวลานี้ ตลาดเรียนรู้สิ่งที่พวกเขาได้ทราบดีอยู่แล้ว ดังนั้น การตอบสนองของตลาดก็เหมาะสม โดยคู่ EUR/USD กลับทิศทางและขยับขึ้นมา หลังจากวิ่งมา 140 จุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม ราคาก็ขึ้นมาอยู่กรอบด้านบนของช่องด้านข้างที่ระดับ 1.1360

    (แน่นอนว่านี่เกิดขึ้นเพราะความช่วยเหลือของฝั่งเงินปอนด์เช่นกัน ซึ่งผลการตัดสินใจของธนาคารแห่งชาติอังกฤษสร้างแรงกดดันอย่างหนักให้กับดอลลาร์ และเราจะมาพูดคุยรายละเอียดในประเด็นนี้ด้านล่าง)

    ผลการประชุมของธนาคารกลางยุโรปไม่ทำให้นักลงทุนประหลาดใจเช่นกัน เช่นเดียวกับธนาคารเฟด ธนาคารกลางยุโรปก็ปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีหน้าให้สูงขึ้น และยังมองว่าอัตราเงินเฟ้อเป็นสถานการณ์ชั่วคราวเช่นกัน โดยธนาคารฯ แถลงมุมมองดังกล่าวอย่างเปิดเผย และไม่มองว่ามีความจำเป็นที่จะต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อในขณะนี้ นอกจากนี้ ยังมีการประกาศอีกครั้งว่าอัตราดอกเบี้ยจะยังคงที่ที่ระดับปัจจุบันไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อจะขยับถึงระดับเป้าหมายที่ 2.0% ซึ่งจะต้องใช้เวลาอีกนาน ส่งผลให้ผลลัพธ์ “หลัก” ของการประชุมนั้นเป็นคำแถลงของ คริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรปว่า “ยังมีแนวโน้มน้อยมากที่เราจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปี 2022” ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคนทราบดีอยู่แล้ว

    ท่าทีผ่อนคลายของธนาคารกลางยุโรปไม่ปล่อยให้คู่ EUR/USD ขยับขึ้นมาเหนือกรอบด้านข้าง และความกังวลเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ Omicron ก็กดดันให้ราคาขยับลง และปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ระดับ 1.1238

    สำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้เป็นช่วงก่อนวันคริสต์มาส และเจ็ดวันหลังจากนั้นจะเป็นวันขึ้นปีใหม่ ในกรณีที่ไม่มีบทบาทของผู้เล่นรายใหญ่ ตลาดจึงมีสภาพคล่องที่ค่อนข้างต่ำและอาจเต็มไปด้วยเซอร์ไพรส์ได้ทุกรูปแบบ ความผันผวนที่เพิ่มขึ้นพร้อมกับช่องว่างราคาที่อาจเกิดขึ้นคือสิ่งที่นักเทรดเรียกว่าเป็น “การทะยานขึ้นของซานตาคลอส” แต่แน่นอนว่า อาจเกิดขึ้นในทางตรงกันข้ามได้เช่นกันคือ การเคลื่อนที่แบบ “ขี้เกียจ” ในกรอบแคบ ๆ

    สำหรับความเห็นของผู้เชี่ยวชาญ 50% คาดว่าดอลลาร์จะแข็งค่าต่อไป และเห็นด้วยกับแนวโน้มขาลงของคู่ EUR/USD ส่วน 30% เดิมพันว่ายูโรจะแข็งค่าขึ้น อีก 20% ที่เหลือมีท่าทีเป็นกลาง ในส่วนออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มี 80% ชี้ไปทางทิศเหนือ (แม้ว่าอีก 15% จะอยู่ในโซน oversold) 10% ชี้ไปยังทิศเหนือ และ 100% ของอินดิเคเตอร์เทรนด์เข้าข้างกับฝั่งตลาดหมี

    ระดับแนวต้านอยู่ในโซน 1.1265, 1.1300, 1.1355, 1.1380, 1.1435-1.1465 และ 1525 ส่วนแนวรับที่ใกล้ที่สุด ได้แก่ 1.1225 จากนั้นคือ 1.1185 และ 1.1075-1.1100

    ตารางกิจกรรมทางเศรษฐกิจของปีนี้ถือว่าหมดลงแล้ว และไม่มีข่าวสำคัญเป็นพิเศษใด ๆ ที่ควรจับตาดูในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ สำหรับเหตุผลที่จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเทรนด์หรือความผันผวนที่เพิ่มสูงขึ้น เราอาจเน้นเรื่องการประกาศสถิติ GDP ประจำปีของสหรัฐฯ ในวันพุธที่ 22 ธันวาคม และการประกาศสถิติคำสั่งซื้อสินค้าทุนและสินค้าคงทนโดยสำนักสำมะโนสหรัฐฯ ในวันถัดไปที่ 23 ธันวาคม

GBP/USD: ก้าวแรกของธนาคารแห่งชาติอังกฤษ

  • เราเน้นย้ำไว้ในบทวิเคราะห์ครั้งก่อนหน้าว่า ภารกิจที่ 1 ของ GBP/USD คือการขึ้นไปยืนเหนือระดับแนวต้านในโซน 1.3285-1.3300 และเราทำนายไว้ว่าหากธนาคารแห่งชาติอังกฤษขึ้นอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 16 ธันวาคม นี่จะไม่เป็นปัญหา และนี่ก็เกิดขึ้นจริง

    ในขณะที่ธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรปได้แต่ประวิงเวลา ธนาคารแห่งชาติอังกฤษเริ่มเดินหน้าโจมตีราคา หลังจากอัตราเงินเฟ้อในสหราชอาณาจักรขยับขึ้นมาที่ 5.1% ทำระดับสูงสุดในรอบ 10 ปี ธนาคารฯ จึงตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบสามปีจาก 0.1% เป็น 0.25% การตัดสินใจนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคที่รุนแรงมากขึ้นเนื่องด้วยไวรัสสายพันธุ์ใหม่ Omicron อย่างไรก็ดี นายแอนดริว ไบเลย์ ผู้ว่าการธนาคารฯ ชี้ว่า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือการรับมือกับแรงกดดันของราคาต่อเศรษฐกิจและสังคม

    แน่นอนว่า การขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 15 จุดนั้นไม่ถือว่ามากนัก แต่ที่สำคัญที่สุด ก้าวแรกนั้นเกิดขึ้นแล้ว และตลาดคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งที่สองในเดือนกุมภาพันธ์

    ยังเป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าทำไมสื่อด้านการเงินหลายแห่งถึงเขียนว่า การตัดสินใจของธนาคารแห่งชาติอังกฤษในครั้งนี้นั้นเป็นเรื่องน่าประหลาดใจโดยสิ้นเชิง หากคุณดูที่บทวิเคราะห์ครั้งก่อนหน้าของเรา ผู้เชี่ยวชาญ 40% คาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้เงินปอนด์แข็งค่าขึ้นตามมา

    แต่ค่าเงินปอนด์ล้มเหลวที่จะแข็งค่าขึ้น หลังจากขยับขึ้นมาเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ที่ระดับ 1.3373  GBP/USD ก็กลับตัวลงอย่างรวดเร็ว นักลงทุนเริ่มทยอยเทขายเงินปอนด์เนื่องด้วยความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับไวรัส Omicron ความเสี่ยงที่พลิกกลับส่งผลให้ดอลลาร์กลายเป็นค่าเงินที่ปลอดภัยมากกว่า และจึงสร้างแรงสะเทือนต่อดัชนีหุ้นและค่าเงินยูโร รวมถึงเงินปอนด์ ซึ่งปิดตลาดรอบห้าวันทำการที่ 1.3235

    การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญสำหรับสัปดาห์ที่จะถึงนี้ดูไม่ค่อยแน่นอนตามช่วงก่อนวันหยุด 35% ของผู้เชี่ยวชาญเห็นด้วยกับฝั่งกระทิง จำนวนเดียวกันโหวตให้กับฝั่งหมี และผู้เชี่ยวชาญ 30% ที่เหลือไม่เลือกข้างใด ๆ ในบรรดาออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 สถานการณ์คล้ายกัน โดย 30% ชี้ให้เข้าซื้อ 45% แนะนำให้ขาย และอีก 25% ที่เหลือแนะนำให้หยุดพักและไม่ต้องทำอะไรในตอนนี้ ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์มีอารมณ์ที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง โดย 100% มีสัญญาณสีแดง

    ระดับแนวรับอยู่ที่ 1.3210-1.3220 จากนั้นคือ 1.3170-1.3190, 1.3135, 1.3075 ในกรณีที่ราคาตัดทะลุกรอบถัดมา ราคาอาจขยับลงต่อไปที่ระดับ 1.2960 ในส่วนโซนและระดับแนวต้านอยู่ที่ 1.3285-1.3300, 1.3340, 1.3370, 1.3410, 1.3475, 1.3515, 1.3570, 1.3610, 1.3735, 1.3835

    นอกจากนี้ยังมีสถิติที่สำคัญเล็กน้อยสำหรับเงินปอนด์ในสัปดาห์หน้า รายงานข่าวที่จะได้รับความสนใจเป็นพิเศษคือสถิติ GDP สหราชอาณาจักรในไตรมาสที่ 3 ซึ่งจะประกาศในวันพุธที่ 22 ธันวาคม แต่ตลาดจะให้ความสำคัญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 รอบใหม่มากกว่า

USD/JPY: เทรนด์ด้านข้างยังคงไปต่อ

  • ค่าเงินที่ไม่เกรงกลัวต่อสถานการณ์ความเสี่ยงที่พลิกกับ คือ เงินเยน ในทางกลับกันนั้น เงินเยนกลับยินดีกับสถานการณ์นี้ ในการวิเคราะห์ครั้งที่แล้ว ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (80%) ได้ทำนายไว้ว่า ท่าทีของเฟดสหรัฐฯ จะช่วยให้คู่ USD/JPY ขยับขึ้น และบางทีอาจตัดผ่านกรอบด้านบนที่ 113.40-114.40 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง โดยดอลลาร์เริ่มแข็งค่าขึ้น และราคาคู่นี้ก็ขยับขึ้นมาที่ระดับ 114.25 ในวันที่ 15 ธันวาคม จากนั้น ด้วยความตื่นตระหนกของนักลงทุน ราคาก็ย้อนตัวลงมายังกรอบด้านล่างที่ 113.13 และปิดตลาดในโซนตรงกลางของกรอบการซื้อขายที่ระดับ 113.70

    ยังเป็นเรื่องยากที่จะทำนายว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับ Omicron และสถานการณ์จะส่งผลต่อความตื่นตระหนกในตลาดอย่างไร ในตอนนี้ ค่าเงินดอลลาร์ยังคงเป็นผู้นำในการต่อสู้ระหว่างเงินเยนและดอลลาร์ โดยนักวิเคราะห์ 55% ได้โหวตให้กับแนวโน้มการเติบโตของคู่ USD/JPY และอีก 45% โหวตให้กับเทรนด์ขาลง

    ผลการวิเคราะห์อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคยิ่งยืนยันการเคลื่อนที่ด้านข้างของคู่นี้ตามระดับ 113.50 เป็นเวลาเกือบ 10 สัปดาห์ติดต่อกัน ในส่วนออสซิลเลเตอร์ 30% ชี้ไปยังทิศใต้บนกรอบ D1 ส่วน 35% ยังคงท่าทีเป็นกลาง และ 35% ชี้ไปยังทิศเหนือ ด้านอินดิเคเตอร์เทรนด์ สีเขียวได้เปรียบกว่าเล็กน้อยที่อัตรา 60% ต่อ 40%

    ระดับแนวรับ ได้แก่ 113.20, 112.70, 112.00, 111.60 และ 111.20 ส่วนแนวต้าน ได้แก่ 114.00, 114.25, 115.00 และ 115.50

    และตอนนี้ก็ถึงเรื่องข้อมูลที่สัญญาไว้เกี่ยวกับการประชุมของธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น ซึ่งดูเหมือนว่าจะไม่มีความสนใจที่จะดันเงินเยนให้แข็งค่าขึ้นแต่อย่างใด และแม้ว่าธนาคารกลางฯ จะได้ลดปริมาณมาตรการเยียวยาฉุกเฉินที่เกี่ยวข้องกับภาวะการระบาดของโรคเมื่อวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม แต่ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงที่ระดับติดลบ -0.1%

    ธนาคารฯ ยังคงนโยบายผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่งและมาตรการสนับสนุนธุรกิจขนาดเล็กเหมือนเดิม และนายฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นกล่าวในงานแถลงข่าวว่า เงินเยนที่อ่อนค่าจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจญี่ปุ่นมากกว่าทำให้เกิดความเสียหาย หากเงินเยนอ่อนค่า ก็จะส่งผลดีต่อการส่งออกและกำไรของบริษัท ดังนั้น เราพูดได้อย่างมั่นใจว่า นโยบายทางการเงินของธนาคารกลางแห่งนี้จะยังคงท่าทีผ่อนคลายมากที่สุดในอนาคตอันใกล้

คริปโตเคอเรนซี: ทุกอย่างดูซับซ้อน จะเป็นช่วงฤดูหนาวหรือเป็นฤดูใบไม้ผลิทันที

  • หลายอย่างดูกำกวมในตลาดคริปโต มูลค่ารวมของตลาดยังคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงตลอด 7 วันที่ผ่านมา และอยู่ที่ $2.270 ล้านล้านดอลลาร์ ($2.215 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า) ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับขึ้นมาเพียงเล็กน้อยที่ 24 จุด และปรับตัวจากโซนหวาดกลัวอย่างยิ่ง เข้าสู่โซนกลัว (Fear) ที่ 29 จุด

    ในสถานการณ์เช่นนี้ ผู้เชี่ยวชาญบางรายหวังว่าตลาดจะฟื้นตัวเข้าสู่เทรนด์ขาขึ้น ในขณะที่บางท่านกลับทำนายว่าตลาดคริปโตจะร่วงลงต่อไป และก็จะทำให้เริ่มนึกถึงช่วงปลายปี 2017 ในตอนนั้น หลังจากราคาทำระดับขึ้นมา $19,270 ในเดือนธันวาคม บิทคอยน์ก็ร่วงลงมาแทนที่จะทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ $20,000 โดยราคาดิ่งลงมาที่ $5,900 ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 และสูญเสียมูลค่า 70% ทำให้นักลงทุนและผู้ที่ชื่นชอบคริปโตต้องตกอยู่ในภาวะซึมเศร้าหนักที่สุด หลังจานั้นก็ตามมาด้วยระยะเวลาหลายเดือนแห่งความคาดหวังและความหวัง สัญญาณความอบอุ่นเริ่มปรากฏขึ้นครั้งแรกเมื่อเดือนมีนาคมปี 20119 และฤดูใบไม้ผลิของคริปโตที่แท้จริงก็เริ่มขึ้นในหนึ่งปีถัดมา ในเดือนมีนาคม 2020

    ผู้มองโลกในแง่ร้ายก็พูดถึงโอกาสการเกิด “ยุคน้ำแข็ง” รอบใหม่นี้เอง เราเคยพูดถึงไว้แล้วถึงความเห็นของ ลูอิส นาเวลเลียร์ นักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเขาระบุว่า ฟองสบู่ขนาดใหญ่เกิดขึ้นแล้วในตลาดหุ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การปรับฐานครั้งรุนรแง ทำให้บิทคอยน์ร่วงลงต่ำกว่า $10,000 ซึ่งเขาเอง รวมถึง ปีเตอร์ แบรนดท์ อีกหนึ่งผู้เชี่ยวชาญ นักเทรดในตำนาน และนักวิเคราะห์ทางเทคนิคก็ออกมาเตือนว่า กราฟรูปแบบ “double top” ที่อันตรายสังเกตเห็นได้บนกราฟบิทคอยน์ “ราคาที่ต่ำกว่า $46,000 (ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน) จะเป็นสัญญาณหมี” เขาเขียน “บิทคอยน์จะต้องร่วงลงมายัง $28,500 เพื่อปิดรูปแบบ double top โดยสมบูรณ์ ซึ่งแนวโน้มขาลงดังกล่าวอาจชี้ว่าราคาสามารถดิ่งลงไปต่ำกว่า $10,000”

    ตามความเห็นของ นิคิตา โซชนิโคฟ ผู้อำนวยการบริการคริปโต Alfacash ระบุว่า ตลาดจะเผชิญกับช่วงเวลาที่ถูกกดดันอย่างยาวนานหากมีการยืนยันรูปแบบ double top อย่างไรก็ดี “ไม่มีคำถามว่าบิทคอยน์จะไปถึง $5,000 หรือแม้แต่ $15,000 หรือไม่ คุณลืมเกี่ยวกับราคาดังกล่าวนี้ไปได้เลย แต่ราคาอาจร่วงลงไปต่ำกว่า $40,000 และอยู่ที่ระดับนี้เป็นเวลาหลายสัปดาห์ ผมเองก็ยอมรับว่าราคาอาจลไปที่ $35,000 แต่จะลงไปต่ำกว่าระดับนี้คงเป็นไปได้ยาก”

    ส่วนความเห็นของ ไมเคิล วาน เดอ ปอปเปอ ผู้ก่อตั้งแหล่งการวิเคราะห์ Material Indicators ภาพรวมตลาดหมียังคงปกคลุมเหล่าปลาวาฬ “พวกเขายังไม่ซื้อนับตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม และพวกเขาขายเท่านั้นในช่วงที่ผ่านมา” และหากคุณดูกราฟในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา คุณจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝั่งหมีกำลังพยายามกดดันคู่ BTC/USD ให้ลงไปต่ำกว่าโซน $46,000 ซึ่งเป็นระดับที่ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะ 200 วัน ตัดผ่าน

    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไป ดูเหมือนว่าฝั่งตลาดหมีจะกลับมาเริ่มโจมตีในช่วงปลายสัปดาห์อีกครั้ง ตลาดถูกโจมตีด้วยอีกหนึ่งคลื่นความหวาดวิตกเนื่องด้วยไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ Omicron และการเทขายสินทรัพย์ความเสี่ยงสูง รวมถึงคริปโตเคอเรนซีอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาบิทคอยน์ลงไปที่ $45,525 ในช่วงดึกของวันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม และจากนั้นก็ย้อนตัวกลับมาที่ $46,500 ผู้เชี่ยวชาญของ IntoTheBlock ระบุว่า BTC มีโอกาสมากมายที่จะขยับลงมายังโซน $43,000 ในสถานการณ์นี้ และราคาจะขยับถึงกรอบด้านล่างที่ระดับดังกล่าวเท่านั้น โดยมีวอลเล็ตจำนวนประมาณ 344,000 วอลเล็ตที่เข้าซื้อเหรียญที่บริเวณแนวรับดังกล่าว และนักลงทุนกลุ่มนี้เองที่จะช่วยพยุงไม่ให้ราคาร่วงลงไปในโซนสีแดงมากกว่าเดิม

    โซนแนวรับที่แตกต่างกันเล็กน้อยปรากฏขึ้นจากการวิเคราะห์บันทึกคำสั่งซื้อขายของตลาด Bitfinex ซึ่งฐานข้อมูลชี้ว่า คำสั่งซื้อบิทคอยน์จำนวนมากถูกตั้งไว้ในช่วงราคาที่ $44,500-$46,000

    คริสต์มาสและปีใหม่ยังคงเป็นวันหยุดที่เต็มไปด้วยความสุข ดังนั้น เพื่อเป็นการต้อนรับวันหยุด เราอยากจะปิดท้ายการคาดการณ์ด้วยความเห็นที่ค่อนข้างเป็นไปในเชิงบวก ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่าการปรากฏตัวของรูปแบบ “double top” บนกราฟไม่ได้แปลว่ากราฟรูปแบบดังกล่าวจะเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์ในที่สุด และตลาดจะปรับฐานลึกลงกว่าเดิม

    แผนการวิเคราะห์ Bestchange เชื่อว่า แม้จะมีความเสี่ยงสูงที่ราคาจะขยับลง ราคาบิทคอยน์ยังคงสามารถขยับขึ้นได้อย่างเต็มกำลังในระยะกลาง “สถานการณ์มีความกำกวมอย่างยิ่งในตอนนี้ แต่การคาดการณ์ในระยะกลางไปจนถึงกลางปี 2022 ยังคงเป็นบวก บิทคอยน์จะต้องเสียมูลค่ารวมอย่างน้อยครึ่งหนึ่งและปักหลักอยู่ใต้ระดับ $28,000-30,000 อย่างมั่นคงได้ เพื่อละทิ้งภาพแนวโน้มเชิงบวก” Bestchange เชื่ออย่างนั้น

    สำนักงานจัดอันดับคริปโต Weiss Crypto ยังคงยึดมุมมองเชิงบวกแม้ว่าจะมีการปรับฐานของบิทคอยน์มาแล้วระยะหนึ่ง นักวิเคราะห์เห็นด้วยกับการคาดการณ์ของ Bloomberg ที่เคยประกาศก่อนหน้านี้ว่ามีโอกาสสูงที่บิทคอยน์จะทำราคาไปถึง $100,000 ในปี 2022

    โอกาสที่ราคาจะขยับถึงระดับจิตวิทยาดังกล่าวนี้มากกว่าความเสี่ยงที่ราคาจะร่วงลง อ้างอิงจากบทรีวิวของ Weiss Crypto เมื่อมีการเผชิญหน้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ สหรัฐฯ จะเร่งเดินหน้าให้คริปโตถูกกฎหมาย ซึ่งจะส่งผลในทางบวกต่อมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัล

    ผู้เขียนงานวิจัยชิ้นนี้ยังเน้นด้วยว่า คริปโตเคอเรนซีจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลักจากตลาดหุ้นขาลงในบริบทที่มีการหันมาใช้นโยบายการเงินแบบรัดเข็มขัดโดยธนาคารเฟด นักลงทุนสามารถละทิ้งหุ้นเพื่อหันเข้าหาสกุลเงินดิจิทัลเป็นเครื่องมือในการประกันความเสี่ยง นอกจากนี้ แนวโน้มผลตอบแทนในพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง ยังอาจส่งผลเชิงบวกต่อราคา BTC และ ETH ได้อีกด้วย

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา