บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 07 - 11 มีนาคม 2022

EUR/USD: สถานการณ์ในยูเครนเป็นตัวตัดสินชะตาของเงินยูโร

  • สถิติเศรษฐกิจมหภาคออกมาน่าสับสนในสัปดาห์ที่แล้ว แต่มีน้อยคนที่ให้ความสนใจกับมันในขณะนี้ ค่าเงินยูโรมีปัจจัยตัดสินคือสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในยูเครนตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว การรบกันที่รุนแรงขึ้นระหว่างยูเครนและรัสเซียยิ่งเพิ่มความต้องการสินทรัพย์ปลอดความเสี่ยง และดอลลาร์ก็ตอบโจทย์นี้ ไม่ใช่ยูโร

    ความแตกต่างในนโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดและธนาคารกลางยุโรปบังคับให้คู่ EUR/USD ขยับลงมาทั้งในปี 2021 และช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ 2022 เหตุการณ์ที่น่าสลดล่าสุดนี้ยังเพิ่มแรงกดดันต่อแนวโน้มขาลง ตลาดจะตอบสนองเป็นอื่นคงไม่ได้ หากมีการโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ Zaporozhye ขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของยูเครน ไฟที่ลุกไหมในบริเวณโรงงานนั้นถูกดับ แต่ก็ไม่ได้ทำให้สถานการณ์ง่ายขึ้นแต่อย่างใด ยุโรปยังคงไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเชอร์โนบิล และไม่มีใครอยากจะได้หายนะนิวเคลียร์ที่อาจคร่าชีวิตคนหลายล้านคน

    ภาพรวมเชิงลบยังมาจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดเป็นพิเศษ ซึ่งอียูใช้คว่ำบาตรรัสเซียเพื่อสนับสนุนยูเครน มาตรการเหล่านี้สร้างปัญหามากมายต่อการขนส่งพลังงานเชื้อเพลิงจากรัสเซียไปยังอียู ยิ่งจำกัดการค้าทางอุตสาหกรรม และบีบภาคธนาคารของรัสเซียเป็นอย่างมาก ตอนนี้ยากที่จะจินตนาการว่า ในสถานการณ์เช่นนี้ ธนาคารกลางยุโรปจะสามารถจำกัดมาตรการกระตุ้นทางการเงินและขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อย่างไร ส่วนทางธนาคารเฟดสหรัฐฯ นั้นไม่น่าจะละทิ้งแผนการเดิม

    นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ กล่าวต่อที่ประชุมสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 2 มีนาคม โดยพูดถึงจุดแข็งของค่าเงินดอลลาร์ ประการแรกก็คือ เป็นที่หลบภัยสำหรับนักลงทุนจากภัยความเสี่ยงมายังสินทรัพย์ปลอดภัยคือดอลลาร์จากสถานการณ์ในยูเครน ข้อดีสำคัญอื่น ๆ คือ ความแตกต่างในนโยบายทางการเงินจากประเทศยุโรปและการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ ตัวชี้วัดที่สำคัญ คือ จำนวนตำแหน่งงานใหม่ที่สร้างขึ้นนอกภาคการเกษตร (NFP) ยิ่งยืนยันคำพูดของนายพาวเวลล์ โดยดัชนีเติบโตขึ้น 678K จากการคาดการณ์ที่ 400K (481K เมื่อหนึ่งเดือนก่อนหน้า)

    นอกจากนี้ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังเชื่อว่า สถานการณ์ในยูเครนและอิทธิพลของรัสเซียต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่าการคาดการณ์ก่อนหน้า ซึ่งนายพาวเวลล์กล่าวว่า นี่จะเป็นเงื่อนไขให้ต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยอาจสูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ภายในสิ้นปี 2022

    บทวิเคราะห์ในสัปดาห์ก่อนหน้าชี้ว่า คู่ EUR/USD จะกลับมาทดสอบแนวรับที่ 1.1100 หลังจากนั้น ตลาดหมีจะพยายามขยับถึงระดับแนวรับสำคัญที่ 1.1000 สถานการณ์ดังกล่าวดูชัดเจนและเกือบจะไม่น่าเชื่อเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ แต่สถานการณ์ที่กล่าวข้างต้นก็เกิดขึ้น ทำให้ราคาตัดทะลุแนวรับที่ดูเหมือนจะ “ฝ่าไม่ได้” ที่ 1.1000 ได้สำเร็จ และร่วงลงมายัง 1.0885 โดยติดลบ 385 จุด ในหนึ่งสัปดาห์ ก่อนที่จะปิดตลาดหลังปรับฐานเล็กน้อยที่ระดับ 1.0932

    ท่ามกลางความตึงเครียดของสถานการณ์การเมืองที่เข้มข้นขึ้น ยูโรติดลบกว่า 600 จุดเทียบกับดอลลาร์ตั้งแต่วันที่ 10 กุมภาพันธ์ และขณะนี้ ราคากำลังเข้าสู่ระดับต่ำสุดของปี 2020 โดยอยู่ไม่ไกลจากราคาคู่ขนานคือ 1:1 การทำนายว่ากรอบด้านล่างจะอยู่ที่จุดใดในสถานการณ์นี้นั้นเป็นเรื่องยากมาก ราคาเคยแตะถึง 1.0635 เมื่อปี 2020 บางที ตัวเลขดังกล่าวอาจเป็นแนวรับได้ในครั้งนี้

    สำหรับฝั่งกระทิง เมื่อพิจารณาความผันผวนที่เพิ่มขึ้น เป้าหมายหลักของฝั่งกระทิงคือการกลับมาสู่โซน 1.1000 อีกครั้ง ตามมาด้วยแนวต้านที่บริเวณ 1.1100-1.1125 จากนั้นจึงเป็นโซนกว้าง ๆ ที่ 1.1280-1.1390 และจากนั้นก็เป็นระดับสูงสุดของวันที่ 13 มกราคม และ 10 กุมภาพันธ์ที่บริเวณ 1.1485 อย่างไรก็ดี ราคาจะสามารถทำได้สำเร็จก็ต่อเมื่อสถานการณ์คลี่คลาย หรืออย่างน้อยมีการหยุดยิง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดหวังสถานการณ์ที่ดีที่สุด โดย 65% โหวตว่าราคาคู่ EUR/USD จะสามารถกลับมาที่อย่างน้อย 1.1200 ภายในเดือนมีนาคม แต่อินดิเคเตอร์เทรนด์และออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 ให้ความเห็นที่แตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง โดยทั้งหมดให้สัญญาณสีแดง แต่ในส่วนออสซิลเลเตอร์ 25% อยู่ในโซน oversold

    สำหรับสถิติเศรษฐกิจ สถิติยอดขายปลีกในเยอรมนีจะประกาศให้ทราบในวันจันทร์ที่ 7 มีนาคม จากนั้นจะเป็นการประกาศค่า GDP ในยูโรโซนในวันอังคาร เหตุการณ์ที่สำคัญในสัปดาห์นี้อาจเป็นการประชุมของธนาคารกลางยุโรปในวันพฤหัสบดีที่ 10 มีนาคม ซึ่งคาดว่าอัตราดอกเบี้ยน่าจะคงเดิมที่ 0% ดังนั้น สิ่งที่น่าจับตามองจะเป็นการแถลงข่าวที่ตามมาของผู้บริหาร ด้านสถิติตลาดผู้บริโภคของสหรัฐฯ จะประกาศในวันเดียวกัน และเราจะได้ทราบตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคในเยอรมนีและสหรัฐฯ ตลอดจนดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ โดย University of Michigan ในช่วงท้ายสัปดาห์ คือ วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม

GBP/USD: สหราชอาณาจักรคือยุโรปเช่นกัน

  • ความพึ่งพาอาศัยของอียูต่อก๊าซจากรัสเซียอยู่ที่ 45-50% ก่อนมาตรการคว่ำบาตรเริ่มขึ้น สหราชอาณาจักรแตกต่างไปจากประเทศในสหภาพยุโรปตรงที่ อังกฤษนั้นเป็นอิสระจากก๊าซของรัสเซีย โดยมีการพึ่งพาต่ำกว่า 3% ปริมาณการค้ารวมกับรัสเซียต่ำกว่านั้นเช่นกัน และในทางภูมิศาสตร์แล้ว อังกฤษตั้งอยู่ในพื้นที่ที่แยกออกจากบริเวณความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนถึง 2,000 กิโลเมตร

    ปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ช่วยให้คู่ GBP/USD อยู่ในเทรนด์ด้านข้างเป็นเวลาหลายวัน แต่ท่ามกลางเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ Zaporizhzhya ราคาคู่นี้ก็ไม่สามารถต้านทานได้ไหวและทำระดับต่ำสุดในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ 1.3201 โดยปิดตลาดท้ายสัปดาห์ที่ 1.3246

    การคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญสำหรับสัปดาห์หน้านี้ มีดังนี้ 50% โหวตว่าราคาจะขยับขึ้นทิศเหนือ และ 25% คาดว่าราคาจะขยับลดลงต่อไป ส่วน 25% ที่เหลือโหวตให้กับแนวโน้มด้านข้าง การอ่านอินดิเคเตอร์บนกรอบ D1 เห็นด้วยกับผลวิเคราะห์ของคู่ EUR/USD โดยสมบูรณ์ แนวรับสำคัญอยู่ที่ 1.3170 (ราคาต่ำสุดของเดือนธันวาคม 2021) ตามมาด้วยแนวรับ 2020 ระดับแนวต้าน ได้แก่ 1.3270-1.3325, 1.3400, 1.3485, 1.3600, 1.3640.

    เหตุการณ์สำคัญในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ ได้แก่ การประกาศสถิติยอดขายปลีกของสหราชอาณาจักรในวันอังคารที่ 8 มีนาคม และการประกาศปริมาณการส่งออกและค่า GDP ของสหราชอาณาจักรในวันศุกร์ที่ 11 มีนาคม

USD/JPY: เยนหรือดอลลาร์: ที่หลบภัยแห่งไหนดีกว่า?

  • ญี่ปุ่นอยู่ไกลจากยูเครนมากกว่าสหราชอาณาจักร กว่า 8,000 กิโลเมตร ถึงแม้ญี่ปุ่นเข้าร่วมในมาตรการคว่ำบาตรรัสเซีย แต่ก็ไม่หยุดสถานะการเป็นที่หลบภัยให้กับนักลงทุน ดังนั้น ทุกปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะคุกรุ่นในยุโรปนั้นไม่ส่งผลต่อคู่ USD/JPY แต่อย่างใด ราคายังคงเคลื่อนที่ตามแนว 115.00 ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยผันผวนอยู่ในกรอบ 114.65-115.77 และปิดตลาดห้าวันทำการไม่ไกลจากกรอบด้านล่างที่ 114.81 แนวโน้มขาลงดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ที่ 4 มีนาคม ไม่ใช่เพราะเหตุการณ์โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ในยูเครน แต่เป็นเพราะผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ลดลง

    กล่าวได้ว่า เมื่อดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเทียบกับยูโรและเงินปอนด์ ดอลลาร์จะอ่อนค่าลงเทียบกับเงินเยน การแข่งขันระหว่างสินทรัพย์หลบภัยสองชนิดนี้แน่นอนว่าจะดำเนินต่อไปในสัปดาห์หน้า นักวิเคราะห์ 75% เชื่อว่า ราคาคู่นี้จะกลับมาสู่กรอบด้านบน ในขณะที่ 25% เชื่อว่า ราคาอาจขยับลงต่อไป ด้านผลวิเคราะห์ของอินดิเคเตอร์ก็น่าสับสนตามตามสถานการณ์ในลักษณะนี้ ในบรรดาอินดิเคเตอร์เทรนด์บน D1 65% แนะนำให้ขาย 35% แนะนำให้ซื้อ ในส่วนออสซิลเลเตอร์ 20% โหวตให้ซื้อ 25% โหวตเป็นกลาง และ 55% โหวตให้ขาย แต่ในขณะเดียวกัน หนึ่งในสี่ให้สัญญาณว่าราคาอยู่ในโซน oversold โดยโซนแนวต้านที่ใกล้ที่สุดคือ 115.00-115.25 จากนั้นคือ 115.70 เป้าหมายหลักของตลาดกระทิงคือการทำระดับสูงสุดใหม่ที่ 116.34 และขยับขึ้นไปยังระดับที่ราคาไม่เคยพบเห็นมาก่อนตั้งแต่เดือนมกราคม 2017 ซึ่งระดับและโซนแนวรับ ได้แก่: 114.40-114.65, 114.15, 113.75, 113.45, 113.20, 112.55 และ 112.70

    ในสัปดาห์นี้ไม่คาดว่าจะมีการประกาศสถิติมหภาคที่สำคัญใด ๆ จากทางฝั่งเศรษฐกิจญี่ปุ่น ยกเว้นสถิติ GDP ในวันพุธที่ 9 มีนาคม

คริปโตเคอเรนซี: มาตรการคว่ำบาตร บิทคอยน์ และสิ่งที่หุ่นยนต์เลือก

  • ทันทีหลังจากธนาคารแห่งชาติรัสเซียสั่งอายัดสินทรัพย์เนื่องด้วยสถานการณ์ในยูเครน ปริมาณการซื้อขายบิทคอยน์ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในวันจันทร์ที่ 28 กุมภาพันธ์ และราคาเหรียญพุ่งขึ้นเกือบ 17% (จาก $37,840 เป็น $44,220) จำนวนที่อยู่บิทคอยน์ที่มีจำนวนเหรียญกว่า 1,000 BTC เพิ่มขึ้นมากกว่า 6% เป็น 2,226 ซึ่งตัวชี้วัดนี้ไม่เคยขยับถึงระดับนี้มาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2021 จำนวนที่อยู่ที่มียอดเหรียญระหว่าง 100 - 1000 BTC ก็เพิ่มขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แม้ว่าจะไม่มากนัก ตัวชี้วัดนั้นเพิ่มขึ้น 1.3% เป็น 15,929 ในหนึ่งวัน อ้างอิงจากข้อมูลของบริการ Glassnode

    นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่า จำนวนวาฬบิทคอยน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วนั้นเป็นเพราะความพยายามของชนชั้นนำของรัสเซียในการถอนเงินเพื่อหลบหลีกมาตรการคว่ำบาตร และแปลงเงินรูเบิลที่อ่อนค่าให้เป็นคริปโตเคอเรนซี

    รายงานจาก Bloomberg ชี้ว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาวและกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ยื่นอุทธรณ์ต่อหน่วยงานตลาดแลกเปลี่ยนที่มีศูนย์กลางขนาดใหญ่ที่สุดของโลก โดยร้องขอให้ยุติความพยายามใด ๆ ที่จะหลบหลีกมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียหลังจากที่รัสเซียบุกรุกยูเครน โฆษกทำเนียบขาวกล่าวว่า คริปโตเคอเรนซีไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นสกุลเงินที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในรัสเซีย อย่างไรก็ตาม หน่วยงานสหรัฐฯ มีความประสงค์จะต่อสู้กับการใช้งานอย่างผิดวิธี ด้าน นางคริสติน ลาการ์ด ประธานธนาคารกลางยุโรป ก็ออกมาเรียกร้องให้เพิ่มการกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลในพื้นที่ยูโรโซนเช่นกัน

    ตลาดแลกเปลี่ยนคริปโตอย่างน้อย 4 แห่ง รวมถึง Coinbase และ Gemini กล่าวว่า พวกเขาจะดำเนินมาตรการเพื่อเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุม

    อเล็กซ์ ครูเกอร์ (Alex Kruger) นักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ชื่อดังกล่าวว่า หากรัสเซียใช้คริปโตเคอเรนซีในการหลบหลีกมาตรการคว่ำบาตร เหตุผลนี้จะเพียงพอให้ทางการสหรัฐฯ สั่งแบนสินทรัพย์ดิจิทัลทั้งหมด “ไม่ต้องคาดหวังว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น แต่ให้ระมัดระวังกับสิ่งที่คุณทำ” เขากล่าวเตือนและเสริมด้วยว่า หากสถานการณ์การเมืองระหว่างประเทศไม่เลวร้ายลงไปกว่านี้ นักลงทุนจะได้เห็นการเติบโตในตลาดคริปโตอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้

    การเคลื่อนที่ของคริปโตเคอเรนซีระหว่างกระเป๋าเงินส่วนบุคคลและตลาดแลกเปลี่ยนแสดงถึงการขาดความมั่นใจในหมู่นักลงทุนต่อพัฒนาการในอนาคตในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งระบุโดย CoinDesk โดยอ้างถึงรายงานของ Bank of America (BofA)

    นักวิเคราะห์กลุ่มนี้ระบุว่า การเพิ่มความเข้มงวดในนโยบายของเฟดและปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคจะเป็นตัวจำกัดการเติบโตในราคาเงินคริปโตในช่วงหกเดือนข้างหน้า อย่างไรก็ดี BofA เน้นย้ำว่า นี่ไม่ใช่ช่วงเริ่มต้นของ “ฤดูหนาวคริปโต” รอบใหม่ เนื่องจากระดับการยอมรับในสินทรัพย์ดิจิทัลในหมู่ผู้ใช้งานและกิจกรรมของนักพัฒนานั้นเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก

    ธนาคารดังกล่าวยังเสริมด้วยว่า จะเป็นเรื่องยากสำหรับตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลที่จะออกจากกรอบราคา ณ ปัจจุบัน จนกว่าความกลัวเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอยจะหมดไป.

    หลังจากราคาพุ่งขึ้นเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ แนวโน้มขาขึ้นของคู่ BTC/USD ชะลอตัวลงเมื่อช่วงวันที่ 1-2 มีนาคม เมื่อราคาขยับถึงโซแนวต้านสำคัญที่ $45,000 และจากนั้น หลังจากความพยายามที่ไม่สำเร็จ ราคาก็กลับลงมายังทิศใต้อีกครั้ง (ก่อนหน้านี้ แนวต้านนี้ได้ตีราคากลับลงมาแล้วหลายครั้งในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์)

    หากราคาบิทคอยน์สามารถยืนเหนือ $45,700 เมื่อใด เราคาดว่าราคาจะเติบโตต่อไปยัง $47,000-50,000 เนื่องด้วยการกระตุ้นเปิดคำสั่งซื้อจำนวนมาก

    เฮนริก เซเบิร์ก (Henrik Zeberg) นักเทรดในตำนานของ The Zeberg Report และผู้เชี่ยวชาญในวัฎจักรเศรษฐกิจมหภาคนำเสนอกราฟสามรูปแสดงถึงหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ และคริปโตเคอเรนซีที่เตรียมพร้อมจะทะยานขึ้นในคลื่น Elliot Wave 5 รายงาน Zeberg ชี้ว่า ดัชนีตลาดหุ้นที่สำคัญที่สุดอย่าง S&P500 และ Nasdaq กำลังเข้าสู่การกลับตัวสู่ขาขึ้นบนกราฟรายสัปดาห์ หากคำทำนายของเขาถูกต้อง บิทคอยน์อาจเพิ่มความสัมพันธ์กับหุ้นและดัชนีหุ้นอีกครั้ง

    ณ ขณะที่เขียนบทความนี้ (ช่วงเย็นวันที่ 4 มีนาคม) คู่ BTC/USD ซื้อขายอยู่ที่บริเวณ $39,300 มูลค่ารวมตามราคาตลาดได้กลับไปสู่ระดับเมื่อหนึ่งสัปดาห์ก่อนหน้าที่ $1.755 ล้านล้านเหรียญ หลังจากขึ้นไปที่ $1.963 ล้านล้านก่อนหน้านี้ ด้านดัชนี Crypto Fear & Greed Index ขยับขึ้นเพียง 6 จุด (จาก 27 เป็น 33 จุด) โดยราคาติดอยู่ในโซนกลัว (Fear) ไม่ไปไหน

    ไมค์ แม็คโกลน (Mike McGlone) นักยุทธศาสตร์สูงสุดจาก Bloomberg Intelligence กล่าวย้ำเช่นกันว่า บิทคอยน์กำลังเดินบนทางสู่การเป็นสินทรัพย์สำรองระหว่างประเทศ เขารับประกันว่าราคา BTC จะขยับถึง $100,000 ในปี 2022 นักวิเคราะห์รายนี้ยังเน้นย้ำด้วยว่า ราคาบิทคอยน์จะไม่ขยับลงไปยัง $30,000 แม้ว่าจะเป็นช่วงขาลงในตลาด

    เขายังเชื่อด้วยว่าเหรียญเช่น Dogecoin จะต้องสูญเสียอิทธิพลของมันเพื่อให้บิทคอยน์สามารถยืนหยัดได้อย่างสมบูรณ์ในฐานะเครื่องมือที่น่าเชื่อถือในการคุ้มครองเงินออม

    หุ่นยนต์เอไอที่สร้างขึ้นโดยนักพัฒนาซอฟต์แวร์ชาวโปรตุเกสที่มีชื่อว่า Tiago Vasconcelos ก็สนับสนุนความเห็นของนักยุทธศาสตร์จาก Bloomberg Intelligence โดยนักพัฒนากล่าวว่า “หุ่นยนต์ที่ได้รับการฝึกฝนนี้อธิบายกฎ แท่งเทียน หลักการเมื่อคุณสามารถซื้อหรือขาย หรือไม่ต้องทำอะไร” หุ่นยนต์นี้จะได้รับหนึ่งคะแนนจากแต่ละธุรกรรมที่ได้กำไรและเสียคะแนนในรูปแบบของ “การลงโทษ” จากการเทรดที่ขาดทุน ที่ปรึกษาหุ่นยนต์ใช้ชุดข้อมูลดังกล่าวทำธุรกรรมกว่าแสนหรือล้านครั้งเพื่อเพิ่มยอดเงินคงเหลือให้ได้มากที่สุด โดยท้ายที่สุด หุ่นยนต์นี้เลือกกลยุทธ์ “hodling ซึ่งเป็นการเก็บสะสมบิทคอยน์ (ทั้งนี้ Hodl คือคำศัพท์ในแวดวงบิทคอยน์ที่เกิดขึ้นจากโพสต์ในกระทู้ Bitcointalk เมื่อปี 2013 ซึ่งเป็นการสะกดคำว่า “hold” ที่แปลว่าถือครอง

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา