บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่ 17 - 23 ตุลาคม 2022

EUR/USD: ตลาดบ้าไปแล้วหรือ?

  • ตลอดช่วงครึ่งแรกของสัปดาห์ คู่ EUR/USD ขยับทางไซด์เวยส์ตามแนว 0.9700 เพราะตลาดรอฟังการประกาศสถิติเงินเฟ้อจากสหรัฐฯ โดยเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 14 ตุลาคม สำนักงานสถิติแรงงานของสหรัฐฯ ได้รายงานตัวเลขล่าสุดของดัชนีราคาผู้บริโภค ซึ่งผลออกมาสูงกว่าการคาดการณ์ ดัชนี CPI เดือนกันยายนอยู่ที่ 0.6% จากการคาดการณ์ที่ 0.5% ส่วนเลขรอบปีอยู่ที่ 6.6% จากการคาดการณ์ที่ 6.5% และตัวเลขครั้งก่อนหน้าที่ 6.3%

    การตอบสนองแรกของตลาดนั้นเป็นไปค่อนข้างอย่างที่หลายคนคาดหวัง ดัชนีดอลลาร์ DXY พุ่งขึ้นเป็น 113.94 จุด (ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 28 กันยายน โดยเคยขึ้นไปทำระดับ 114.79  จุดสูงสุดในรอบ 20 ปี) ผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลรอบ 10 ปีทำสถิติสูงสุดในรอบ 14 ปี ขึ้นไปถึง 4.08% และคู่ EUR/USD ได้ขยับถึงระดับ 0.9630 ราคาสินทรัพย์กลุ่มเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับดอลลาร์โดยมีความสัมพันธ์แบบแปรผกผันก็ขยับลดลง ดัชนี S&P500 ร่วงลง 2.4% และทำระดับต่ำสุดในรอบสองปี ด้าน Dow Jones, Nasdaq และสินทรัพย์คริปโตมีความเคลื่อนไหวที่คล้ายกัน

    แต่มีบางอย่างพิเศษเกิดขึ้นในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ทุกตลาดกลับวิ่งอย่างบ้าระห่ำ กลับตาลปัตร 180 องศาโดยฉับพลันอย่างไม่มีเหตุผลแต่อย่างใด

    ดอลลาร์เริ่มอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว DXY ตกลงมาที่ 112.46 และ EUR/USD ตัดทะลุ 0.9800 ลงมา ในทางกลับกันนั้น ดัชนี S&P500 มีค่าเป็นบวกในช่วงท้ายของวันพฤหัสบดีและดีดขึ้นมา 2.6% นักวิเคราะห์อธิบายว่าเป็นเพราะตลาดหุ้นที่เจอแรงขายมามากเกินไป จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ตลาด และความต้องการในความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง โดยเชื่อกันว่าหุ้นนั้นเสียมูลค่าประมาณ 30% ในช่วงภาวะเศรษฐกิจถดถอย โดย S&P500 ติดลบ 27.5% ในช่วงปี 2022 ดังนั้น นักลงทุนบางกลุ่มจึงเชื่อว่าเราได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว หรือจะถึงจุดต่ำสุดในเร็ว ๆ นี้ และถึงเวลาที่จะเริ่มเข้าซื้อ ด้านออปชั่นขาย (put) จำนวนมากถูกเก็บซื้อในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งมีการเก็บกำไร และเงินเฟียตถูกใช้เพื่อการซื้อสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง

    แม้ว่าจะมีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา ความเห็นของนักลงทุนต่อการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปของ Fed สหรัฐฯ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง Ray Dalio นักลงทุนเศรษฐีพันล้านได้เตือนว่า สหรัฐฯ จะเผชิญกับ “พายุอันสมบูรณ์แบบ” ของสารพัดปัญหา ทั้งปัญหาหนี้สิน การเมือง และความขัดแย้งในต่างประเทศ แต่ในขณะเดียวกัน แม้จะมีภัยภาวะเศรษฐกิจถดถอย ธนาคาร Fed ก็ไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากจะต้องต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อต่อไป

    ตลาดมั่นใจว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 75 จุดพื้นฐาน (bp) ในการประชุมครั้งถัดไปของคณะกรรมการ FOMC (คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของสหรัฐฯ) ในวันที่ 2 พฤศจิกายน โดย CME Group ตลาดตราสารอนุพันธ์ทางการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอเมริกาเหนือประเมินความเป็นไปได้ของท่าทีดังกล่าวไว้กว่า 90% นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่อัตราดอกเบี้ยจะปรับเพิ่มเป็น 75 bp ในเดือนธันวาคม (หรือ 50 bp ในเดือนธันวาคม และขึ้นอีก 50 bp ในไตรมาสที่ 1 ปี 2023) จุดสูงสุดของการขึ้นดอกเบี้ยคาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 4.93-5.00% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยนี้อาจคงที่ไปจนถึงปี 2024

    ทางด้านฝั่งยุโรป Peter Kazimir ผู้แทนและประธานธนาคารกลางประเทศสโลวาเกียได้กล่าวไม่นานมานี้ว่า “การขึ้นอัตราดอกเบี้ย 75 bp ในเดือนตุลาคมเป็นสิ่งที่เหมาะสม” อย่างไรก็ดี สิ่งนี้แทบไม่มีผลต่อตลาด นักเศรษฐศาสตร์ที่ Commerzbank ยังคงคาดการณ์ว่าธนาคารกลางยุโรปจะขึ้นดอกเบี้ยเพียง 3.0% เท่านั้นภายในเดือนมีนาคมปีหน้า จึงจะถือว่ายังตามหลังดอกเบี้ยฝั่งดอลลาร์อยู่มาก

    นอกจากนี้ วิกฤติพลังงานและปัญหาที่เกี่ยวข้องกับมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียจากการบุกรุกประเทศยูเครนจะยังคงเป็นแรงกดดันต่อค่าเงินยูโรต่อไป นักวิเคราะห์จาก Commerzbank ชี้ว่า ยูโรจะเริ่มฟืื้นตัวได้ก็ต่อเมื่อ มีนักลงทุนเดิมพันว่าวิกฤติจะสิ้นสุดลงในปีหน้านี้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในระหว่างนี้ พวกเขาเขียนว่า “การใช้นโยบายทางการเงินที่ลดสภาพคล่องและเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งจะทำให้ดอลลาร์เป็นค่าเงินโปรดของนักลงทุนระหว่างประเทศ”

    ดังนั้น ในระยะสั้น EUR/USD จึงยังคงมุ่งไปยังทิศใต้ การคาดการณ์จากนักยุทธศาสตร์จาก DBS Bank ชี้ว่า หากราคาตัดผ่านแนวรับที่สำคัญด้านล่าง 0.9600 อาจจะตกลงไปยังกรอบ 0.8270-0.9500 ซึ่งสังเกตเห็นในช่วงปี 2000-2002.

    หลังการประกาศยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ในเดือนกันยายนและดัชนีราคาผู้บริโภคของ University of Michigan คู่ เงิน EUR/USD เทรดอยู่ที่โซน 0.9750 ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม โดยมีนักวิเคราะห์ 55% เห็นด้วยว่า ราคาจะขยับต่อไปยังทิศใต้ในอนาคตอันใกล้ และอีก 35% คาดการณ์ทิศเหนือ และ 10% โหวตให้กับเทรนด์ไซด์เวยส์ด้านข้าง ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์บนกรอบ D1 มี 90% ให้สีแดงและ 105 ให้สีเขียว ภาพรวมนั้นค่อนข้างแตกต่างออกไปในหมู่ออสซิลเลเตอร์ โดยมี 40% เท่านั้นที่แนะนำให้ขาย และ 15% เห็นด้วยกับการเข้าซื้อ ส่วน 55% มีท่าทีเป็นกลาง

    ด้านแนวรับที่ใกล้ที่สุดของคู่ EUR/USD อยู่ที่ 0.9700 ตามมาด้วย 0.9670, 0.9630, 0.9580 และสุดท้ายราคาต่ำสุดที่ 28 กันยายนที่ 0.9535 โดยเป้าหมายถัดไปของตลาดหมีคือ 0.9500 ระดับและเป้าหมายของฝั่งกระทิง ได้แก่ 0.9800-0.9825, 0.9900 ซึ่งมีภารกิจอันดับแรกคือจะต้องกลับไปที่กรอบ 0.9950-1.0020 และมีบริเวณเป้าหมายถัดไปที่ 1.0130-1.0200.

    ไฮไลต์สำคัญบนปฏิทินเศรษฐกิจในสัปดาห์ที่จะถึงนี้มีวันอังคารที่ 18 ตุลาคม ซึ่งจะมีการประกาศดัชนีความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของเยอรมนีโดย ZEW ทางด้านดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของยูโรโซน และสถิติกิจกรรมภาคการผลิตและตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐฯ จะประกาศให้ทราบในวันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม

GBP/USD: อังกฤษเปลี่ยนท่าที

  • โดยทั่วไป กราฟ GBP/USD คล้ายกันกับกราฟ EUR/USD ในสัปดาห์ที่แล้ว ยกเว้นความผันผวน ราคาต่ำสุดในกรอบอยู่ที่ระดับ 1.0922 และสูงสุดอยู่ที่ 1.1380 ดังนั้น ช่วงความผันผวนในช่วงห้าวันที่ผ่านมาจึงมากกว่า 450 จุด

    สถิติเศรษฐกิจสหราชอาณาจักร ซึ่งประกาศในสัปดาห์นี้ดูมีความผสมกัน วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคมเป็นวันสำคัญ เพราะนายกรัฐมนตรี Lizz Truss ได้สั่งปลดรัฐมนตรี Quasi Kwarteng รัฐมนตรีการคลังออกจากตำแหน่ง หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว ตลาดกำลังรอรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องงบประมาณฉบับเล็กของประเทศ ด้าน Jeremy Hunt อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีการคลังคนใหม่ และรัฐมนตรีคนเดิมก็เปลี่ยนนโยบายการคลังจากหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ก็ไม่ได้ช่วยเงินปอนด์เท่าไหร่นัก โดยราคาคู่นี้อยู่ที่บริเวณ 1.1200 ในช่วงปลายสัปดาห์ทำการ

    ในส่วนการคาดการณ์ระยะกลาง ในที่นี้มีนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (75% ที่เห็นด้วยกับฝั่งหมี 25% มีท่าทีเป็นกลาง ในขณะที่ผู้ที่เห็นด้วยว่าเงินปอนด์จะแข็งค่านั้นเท่ากับ 0 ในส่วนของออสซิลเลเตอร์บนกรอบ D1 มีอัตราส่วน 60% และ 40% โดยฝั่งสีแดงได้เปรียบ ในส่วนอินดิเคเตอร์เทรนด์ มีเพียง 15% เท่านั้นที่ให้สัญญาณสีแดง 40% เป็นสีเขียว และ 45%ที่เหลือเป็นสีเทากลาง

    ระดับและโซนแนวรับที่ใกล้ที่สุดได้แก้ 1.1100, 1.1055, 1.0985-1.1000, 1.0925 ตามมาด้วย 1.0500-1.0740 และระดับต่ำสุดของวันที่ 26 กันยายนที่ 1.035 เมื่อราคาคู่นี้ขยับขึ้นทิศเหนือ กระทิงจะพบกับแนวต้านที่ระดับ 1.1300, 1.1350, 1.1400, 1.1470, 1.1500, 1.1610, 1.1720, 1.1800 และ 1.1960

    ในส่วนการประกาศสถิติเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักร ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) จะประกาศให้ทราบในวันพุธที่ 19 ตุลาคม เหมือนกันกับในยูโรโซน และดัชนีค้าปลีกของสหราชอาณาจักรประจำเดือนกันยายนจะประกาศในวันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม

คริปโตเคอเรนซี: BTC จะมีมูลค่าเท่าไรในวันที่ 9 ตุลาคม 2024?

  • ตลาดคริปโตค่อนข้างนิ่งสงบจนถึงวันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม โดยคู่ BTC/USD ค่อนข้างมีความเสถียรถึงแม้จะเจอกับแรงกดดันขาลง ราคาคงตัวที่บริเวณ $19,000 อย่างไรก็ดี ราคาดิ่งลงหลังการประกาศดัชนีราคาผู้บริโภคในสหรัฐฯ (CPI) ตามดัชนี S&P500, Dow Jones และ Nasdaq แต่ราคาก็ไม่เคยแตะระดับต่ำสุดของวันที่ 19 มิถุนายนที่ $17,940 และหลังจากทำระดับล่างสุดไว้ที่ $18,155 ราคาก็ขยับขึ้นอย่างรวดเร็วตามดัชนีหุ้น ซึ่ง ณ ขณะที่เขียนบทรีวิวฉบับนี้ในช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม ราคาคู่นี้ซื้อขายอยู่ในโซน $19.375

    Michael van de Poppe นักเทรดตลาดหุ้นอัมสเตอร์ดัมเชื่อว่า ความผันผวนของราคาที่ต่ำในปัจจุบันของบิทคอยน์จะเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งหลังของเดือนตุลาคม หลังการประกาศสถิติเงินเฟ้อในสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อประกอบกับสถิติค้าปลีกและตลาดแรงงานล่าสุด จะส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งวอลล์สตรีทและตลาดคริปโตเคอเรนซี

    ช่วงสำคัญถัดไปคือช่วงต้นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งธนาคารเฟดมีแนวโน้มจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.75% จะต้องเผชิญกับการทรุดตัวลงครั้งใหม่ที่ประมาณ 20% ดังนั้น การขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงสำหรับผู้ที่ลงทุนในหุ้นบริษัทสหรัฐฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 500 แห่งตั้งแต่ต้นปี 2022 อาจเกิน 44% แต่นักลงทุนคริปโตหลายรายหวังว่า บิทคอยน์จะมีบทบาทเป็นเหมือนกันกับทองคำดิจิทัลในครั้งนี้ เช่นเดียวกับในกรณีวิกฤติล่าสุดในสหราชอาณาจักร และจะไม่ทรุดตัวลงตามสินทรัพย์ชนิดอื่น ๆ โดยเราจะได้เห็นความชัดเจนในอนาคตอันใกล้ว่าความหวังเหล่านี้จะเป็นจริงหรือไม่

    หากคุณดูที่การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ล่าสุดจะสามารถจัดแบ่งได้ตามสีดังนี้: ผลการคาดการณ์ระยะสั้นเป็นสีดำเข้ม ระยะกลางเป็นสีเทา และระยะยาวเป็นสีฟ้าสว่างสดใส

    ในกลุ่มสีดำมืด ในครั้งนี้ เราจะเน้นคำคาดการณ์ของ Zack Voell ผู้เชี่ยวชาญตลาดคริปโตผู้มีประสบการณ์ และเป็นนักวิเคราะห์ด้านการขุดเหรียญที่ Braiins ได้แชร์โมเดลที่สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมราคาบิทคอยน์ (BTC) ในช่วงวัฎจักรหมีก่อนหน้า โดยเขาได้ศึกษาพฤติกรรมของราคาในช่วงระยะเวลาในอดีตระหว่างราคาสูงสุดและต่ำสุด และทำนายว่าบิทคอยน์จะลดลงไปที่ $13,800

    นักวิเคราะห์ท่านนี้เน้นย้ำว่า เขาได้ศึกษาพฤติกรรมราคาบิทคอยน์ในปี 2011 จากนั้นเป็น 2013-2015 และ 2017-2018 รวมถึงในช่วงวัฎจักรปัจจุบัน ซึ่งเริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน 2021 เขามีความเห็นว่า มูลค่าของบิทคอยน์นั้นลดลงมากกว่า 80% จากระดับสูงสุดในช่วงสองครั้งล่าสุด หากประวัติศาสตร์ยังคงซ้ำรอย ราคาเหรียญจะลดลงอย่างน้อยมาที่ระดับนี้ และอาจลงต่ำต่อลงไปได้อีก

    เขากล่าวว่า วัฏจักรหมีในปี 2011 นำไปสู่ราคาเหรียญ BTC ที่ทรุดหนักถึง 95% อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เกิดขึ้นเมื่อสกุลเงินคริปโตยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย และยังไม่อยู่บนเส้นทางที่จะมีการรองรับเป็นวงกว้าง

    Voell ยังกล่าวด้วยว่า แม้จะมีสภาพอารมณ์เชิงลบ บิทคอยน์นั้นเป็นสินทรัพย์ที่ทำกำไรได้ดีที่สุดในไตรมาสที่ 3 ปี 2022 ทองคำดิจิทัลนี้แสดงถึงความเสถียรสูงอย่างยิ่งในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา นอกจากนี้ รายงานจาก NYDIG ชี้ว่า มีแค่ทองคำและดอลลาร์เท่านั้นที่ทำกำไรได้ในช่วงไตรมาสที่สาม

    ตอนนี้เราจะพูดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 4 ของปี 2022 ซึ่ง Mike McGlone นักยุทธศาสตร์อาวุโสจาก Bloomberg Intelligence ได้คาดการณ์ว่าราคาบิทคอยน์จะขยับขึ้นภายในสิ้นปี 2022 ทองคำดิจิทัลและอีธีเรียมมักทำผลงานได้ดีกว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในช่วงเศรษฐกิจขาลง ดังนั้น McGlone จึงเรียกการขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางต่าง ๆ ว่าเป็น “ลมส่งที่พัดแรง”

    เขายังเน้นด้วยว่า เดือนตุลาคมเป็นเดือนที่ดีที่สุดสำหรับบิทคอยน์นับตั้งแต่ปี 2014 ในขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์เชื่อว่า การเปลี่ยนผ่านของ Ethereum ไปใช้อัลกอริทึมแบบ Proof-ofStake สามารถช่วยดันราคา ETH และ BTC ให้ปักหลักเหนือระดับ $1,000 และ $20,000 ได้สำเร็จตามลำดับ

    ระดับราคาดังกล่าวของ Ethereum และ Bitcoin แน่นอนว่าจะไม่ทำให้นักลงทุนประทับใจ ดังนั้น การคาดการณ์ของนักยุทธศาสตร์จาก Bloomberg Intelligence จึงจัดได้ว่าอยู่ในกลุ่มสีเทากลาง จากนั้นเราก็จะขยับมาที่กลุ่มสีฟ้าสดใส

    Paul Tudor Jones นักเทรดและผู้ก่อตั้ง Tudor Investment Hedge Fund กล่าวในบทสัมภาษณ์กับ CNBC ว่า เขายังคงถือคำสั่งบิทคอยน์อยู่ “ผมยังลงทุนในบิทคอยน์อยู่เล็กน้อย” โดยเขาเชื่อว่า สกุลเงินคริปโตอันดับแรกและอันดับที่สองจะมีมูลค่า “ณ วันหนึ่ง” เพราะเงินมีปริมาณมากเกินไป

    Raoul Pal ผู้ก่อตั้ง Real Vision และอดีตซีอีโอ Goldman Sachs กล่าวว่าเวลานั้นจะมาถึงจริงได้เมื่อธนาคารเฟดถอนตัวจากแผนการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อโดยใช้นโยบายทางการเงินแบบเข้มงวด เขากล่าวว่า ภูมิหลังทางเศรษฐกิจเริ่มดูน่าดึงดูดให้ลงทุนในสกุลเงินคริปโตแล้ว นักลงทุนหลายรายกำลังอยู่ในภาวะที่หวาดกลัวขั้นสุด กลัวว่าระบบการเงินทั่วโลกจะล่มสลายในเร็ว ๆ นี้ และนี่อาจเป็นปัจจัยผลักดันสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยง เช่น บิทคอยน์ หรือเหรียญทางเลือก

    นักธุรกิจท่านนี้เห็นว่า นักลงทุนคิดในแง่ลบมาก และกำลังเน้นความปลอดภัย ก่อนหน้านี้ ตลาดมีเงินลงทุนจำนวนมหาศาล แต่ตลาดไม่เป็นผลแล้วตอนนี้ เพราะฝั่งผู้ขายเข้าครอบงำผู้ซื้อ สถานการณ์นี้อาจกระตุ้นให้ธนาคารเฟดเริ่มผ่อนคลายนโยบายทางการเงิน

    “ตอนนี้แทบไม่มีสภาพคล่องในตลาด เพราะในนั้นเหลือแต่ผู้ขาย ผมคิดว่ามันจะส่งผลให้เกิดปัญหาอันใหญ่หลวงในอนาคตได้ ท้ายที่สุด ธุรกิจต่าง ๆ จะเรียกร้องให้ออกเงินเพิ่มและสถานการณ์ในตลาดจะเปลี่ยนแปลงไป” กล่าวโดย Raul Pal ดังนั้น เมื่อใดที่ธนาคารกลางเริ่มพิมพ์เงินอีกครั้ง สินทรัพย์เช่น Bitcoin และเหรียญอัลท์คอยน์จะมีมูลค่าสูงขึ้น “นี่เป็นสถานการณ์ที่น่าเศร้า แต่ก็เป็นเรื่องจริง คุณจะได้เห็นเมื่อการเปลี่ยนแปลงมาถึง และใช้มันให้เป็นประโยชน์โดยลงทุนในคริปโตเคอเรนซี”

    Dave the Wave นักวิเคราะห์คริปโตชื่อดังได้คาดการณ์ว่าบิทคอยน์จะทรุดตัวลงในเดือนพฤษภาคม 2021 ตอนนี้เขาเชื่อว่า หากบิทคอยน์มีมูลค่าเท่ากับทองคำในมูลค่าตามราคาตลาดในระยะยาว แปลว่าราคาจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40 เท่า ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้มองว่า เป้าหมายนี้จะเป็นจริงได้ภายในเวลาประมาณ 20 ปี

    กราฟราคาสีรุ้งของ Blockchain Center ก็ดูสดใสเช่นกัน (ซึ่งแตกต่างจากการคาดการณ์ของเราในระดับหนึ่ง) กราฟนี้แสดงให้เห็นว่าสถิติราคาในอดีตสามารถช่วยทำนายพฤติกรรมสินทรัพย์ในอนาคตได้อย่างไร

    ในระยะยาว กราฟจะบ่งชี้ว่า บิทคอยน์อาจขึ้นไปมีมูลค่าถึง $626,383 ภายในวันที่ 9 ตุลาคม 2024 บิทคอยน์จะไปถึง “บริเวณฟองสบู่ขั้นสุด” จากนั้นจะถูกกำกับด้วยสีแดงเข้ม นอกจากนี้ กราฟนี้ยังบอกให้ทราบว่า ฤดูหนาวคริปโตในปัจจุบันอาจถึงจุดต่ำสุดแล้ว ทั้งนี้ ราคาปัจจุบันของบิทคอยน์ที่ประมาณ $19,500 ถือว่าโซน “ขายหลัก” (สีน้ำเงิน) ก่อนจะเกิดช่วงตลาดกระทิงอีกรอบ กราฟสีรุ้งนี้แสดงให้เห็นด้วยว่า สถานะ “HODL” ของบิทคอยน์จะมีผลในช่วงปลายปีนี้เมื่อสินทรัพย์จะซื้อขายที่ราคา $86,151

    แท่งสีนั้นเป็นไปตามระบบลอการิทึมโดยสมบูรณ์ โดยไม่มีการอ้างอิงจากวิทยาศาสตร์ใด ๆ อีกทั้ง ขอบต่าง ๆ นั้นถูกปรับเพื่อให้ตรงกับระยะเวลาในอดีตให้ดีขึ้น แต่ผู้พัฒนากราฟนี้กล่าวว่า อย่างน้อยนี่ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจในการมองหาแนวโน้มในอนาคตเพื่อทำกำไรกับคริปโตเคอเรนซี

    ณ ขณะที่เขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ มูลค่ารวมในตลาดคริปโตอยู่ที่ $0.927 ล้านล้านดอลลาร์ ($0.946 ล้านล้านดอลลาร์เมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า) ดัชนี Crypto Fear & Greed Index ไต่ขึ้นมา 1 จุดในรอบเจ็ดวันจาก 23 เป็น 24 และยังคงอยู่ในโซนความกลัวขั้นสุด (Extreme Fear)

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้

กลับ กลับ
เว็บไซต์นี้ใช้คุกกี้ เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ นโยบายคุกกี้ ของเรา