พฤศจิกายน 21, 2020

อันดับแรกเป็นการทบทวนเหตุการณ์ในสัปดาห์ที่แล้ว:

  • EUR/USD ในสัปดาห์ที่แล้ว เราได้พูดถึงอีกครั้งเกี่ยวกับความไม่แน่นอนในตลาดที่นักลงทุนได้แต่ยักไหล่ ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และจากนั้นคำทำนายก็ถือว่าเหมาะสม: ผู้เชี่ยวชาญ 50% โหวตให้กับตลาดกระทิง 40% สนับสนุนตลาดหมี และที่เหลืออีก 10% มีท่าทีเป็นกลาง และก็ถือว่าเป็นคำทำนายที่ถูกต้องมากที่สุด: ราคาได้ขยับในกรอบที่แคบมาก ๆ บริเวณ 1.1815-1.1890 ตลอดทั้งสัปดาห์ และปิดตลาดรอบห้าวันทำการบริเวณตรงกลางที่ระดับ 1.1858
    เหตุผลเบื้องหลังก็คือ ความไม่แน่นอนบางส่วนจากสมดุลแห่งอำนาจที่ไม่ชัดเจนหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ และสาเหตุประการที่สองที่คุณอาจพอเดาได้ก็คือ คลื่นการระบาดรอบที่สองของ COVID-19
    นอกเหนือจากข้อเท็จจริงที่ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ยื่นเรื่องถึงศาลสูงสุดที่เขาจะท้าทายผลการเลือกตั้ง และการที่พรรครีพับลิคกันยังมีตำแหน่งที่เข้มแข็งมากพอแล้ว ตอนนี้ยังมีอีกหนึ่งความขัดแย้งในสหรัฐฯ ปรากฏขึ้นระหว่าง นายสตีเฟน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ และธนาคารเฟด
    นายมนูชินได้กล่าวว่า โครงการให้สินเชื่อฉุกเฉินได้บรรลุเป้าหมายและน่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปีนี้ ด้านธนาคารเฟดฯ อยากจะเห็นโครงการเหล่านี้ที่ออกแบบมาเพื่อสนับสนุนเศรษฐกิจให้ดำเนินต่อไปในช่วงโรคระบาดอย่างเต็มที่ ซึ่งโครงการจำนวน 12 จาก 13 โครงการสินเชื่อที่ทุ่มเงินหลายล้านล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจ จะครบกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม และหากสิ่งนี้เกิดขึ้น ตลาดหุ้นจะตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักหน่วง โดยตลาดหุ้นจะถูกเทขายอย่างหนัก และดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นในฐานะสินทรัพย์หลบภัย
    จากคำกล่าวของนายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารเฟดสหรัฐฯ ชี้ว่า ยังไม่ถึงเวลาจะยุติโครงการสินเชื่อฉุกเฉินในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งเป็นท่าทีที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศให้การสนับสนุนด้วย โดยเชื่อว่าสภาพเศรษฐกิจที่แท้จริงนั้นยังไม่เป็นที่น่าพึงพอใจ และการหยุดใช้มาตรการเงินอุดหนุนอาจทำให้ GDP ของโลกตกต่ำลงไปอีก
    ทั้งนี้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 พฤศจิกายน มีรายงานว่า นายมิตช์ แม็คคอนเนลล์ ผู้นำฝั่งเสียงข้างมากของรีพับลิคกันในวุฒิสภาสหรัฐฯ ดูมีท่าทีที่พร้อมที่จะกลับมาเจรจาเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครกล่าวได้ว่าการเจรจาเหล่านี้จะจบลงเมื่อใด
    สถานการณ์เกี่ยวกับมาตรการต่อสู้กับ COVID-19 ก็ยังไม่ชัดเจนเช่นกัน รัฐบาลหลายประเทศพยายามที่จะป้องกันการแพร่ระบาดระลอกที่สอง นิวยอร์กได้สั่งการให้ปิดโรงเรียน และตลาดหุ้นดิ่งลงเมื่อวันพฤหัสบดีจากการประกาศของ นายบิล เดอ บลาซิโอ ผู้ว่าการนิวยอร์ก เกี่ยวกับโอกาสออกคำสั่งห้ามรับประทานอาหารในร้านและกิจการสาธารณะ และแม้ว่าสถานการณ์ในยุโรปจะค่อนข้างมีปัญหาเช่นกัน แต่ก็ยังดีกว่าในสหรัฐฯ เนื่องด้วยมาตรการที่เข้มงวดในอียู ทำให้อัตราการแพร่ระบาดเป็นไปอย่างช้ากว่าในยุโรป แต่ในที่นี้ก็ยังไม่สามารถคาดการณ์ใด ๆ ได้เช่นกัน
  • GBP/USD เมื่อช่วงปลายสัปดาห์ เงินปอนด์แม้ว่าจะแข็งค่าขึ้นมาเล็กน้อย โดยได้ขยับถึงระดับสูงสุดจาก 1.3200 ไปที่ 1.3310 และแม้ว่าการเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงเบร็กซิตระหว่างอียูและสหราชอาณาจักรจะถูกระงับลงเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาอันเนื่องมาจากมีหนึ่งในผู้แทนอียูติดเชื้อโคโรนาไวรัส เงินปอนด์ก็ยังได้รับแรงหนุนจากข้อมูลเรื่องการกลับมาเดินหน้าเจรจาต่อระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิคกันของสหรัฐฯ ว่าด้วยมาตรการทางการคลังตามที่เราเอ่ยถึงข้างต้นนี้ อีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุน คือ การประกาศสถิติยอดขายปลีกในสหราชอาณาจักร ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.2% ในเดือนตุลาคม ทำให้ราคาปิดตลาดใกล้กับระดับสูงสุดในรอบสองสัปดาห์ที่ 1.3290
  • USD/JPY ในขณะที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ และอียูกำลังพยายามที่จะต่อสู้กับการโจมตีของไวรัสโคโรนาอย่างหนักหน่วง ฝั่งญี่ปุ่นมีสัญญาณความสำเร็จที่น่าประทับใจ GDP ประเทศในไตรมาสที่สามเพิ่มขึ้นมาที่ 5.0% และแม้ว่าไตรมาสก่อนหน้านี้จะอยู่ที่ -8.2% ก็ตาม ตัวชี้วัดดังกล่าวทำให้เงินเยนรักษาสถานะการเป็นค่าเงินหลบภัยได้สำเร็จ จึงมีความน่าดึงดูดมากกว่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
    ด้วยเหตุนี้ คำทำนายของนักวิเคราะห์กลุ่ม 60% ที่สนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% และออสซิลเลเตอร์ 70% ถือว่าค่อนข้างแม่นยำ ในครั้งที่แล้ว พวกเขาคาดว่าราคาจะคงตัวอยู่ในกรอบขาลง และจะพยายามทดสอบแนวรับที่โซน 103.00 อีกครั้ง จริงอยู่ที่ราคาไม่ได้ขยับลงไปถึงเป้าหมายดังกล่าว และทำราคาต่ำสุดอยู่ที่ 103.65 แต่ชัดเจนว่าราคาได้ดิ่งลงทิศใต้ โดยเปิดตลาดที่ 104.60 ก่อนที่จะปิดท้ายตลาดรอบห้าวันที่ 103.80
  • คริปโตเคอเรนซี การคาดการณ์ที่เราได้ให้ไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้วชี้ว่า คู่ BTC/USD อาจแข็งตัวเหนือระดับ $17,000 ภายในเดือนพฤศจิกายน ในขณะเดียวกัน มีการเน้นย้ำว่าแทบจะไม่คุ้มค่าที่จะรอการเก็บกำไรครั้งใหญ่ในอนาคต เพราะสิ่งนี้จะถูกยับยั้งโดยความโลภหวังให้ราคาเติบโตต่อไปอย่างน้อยถึงระดับ $20,000 โดยเฉพาะเมื่อไม่มีแนวต้านสำคัญใด ๆ ขวางอยู่ในระหว่างนี้
    ความเป็นจริงเป็นไปเกินความคาดหมายที่เราทำนายไว้: โดยราคาได้ตัดทะลุระดับ $17,000 และ $18,000 และราคาได้ดีดตัวขึ้นถึง $18,780 ทำมูลค่าขึ้นกว่า 15% ในรอบสัปดาห์ โดยรวมแล้ว ในช่วงสามสัปดาห์แรกของเดือนพฤศจิกายน บิทคอยน์เติบโตขึ้นถึง 35% และมูลค่ารวมในตลาดเงินคริปโตเพิ่มขึ้นจาก $401 พันล้านเหรียญ เป็น $515 พันล้านเหรียญสหรัฐ และในขณะที่กำลังเขียนบทวิเคราะห์ฉบับนี้ในวันที่ 20 พฤศจิกายน ราคายังคงเติบโตขึ้นต่อเนื่อง ปริมาณดังกล่าวเราเคยเห็นเฉพาะเมื่อในช่วงการทะยานขึ้นของราคาเมื่อปี 2017 เท่านั้น
    ในบรรดาเหตุผลหลักที่ทำให้ราคาทะยานขึ้น ผู้เชี่ยวชาญอ้างอิงถึงการเริ่มเก็บบิทคอยน์โดยนักลงทุนทั้งรายย่อยและรายสถาบันขนาดใหญ่ ตามผลสำรวจเศรษฐีเงินล้าน 700 คนโดย DeVere Group ชี้ให้เห็นว่า 73% มีเงินคริปโตในครอบครองแล้ว หรือกำลังวางแผนที่จะลงทุนในเงินคริปโต
    อีกหนึ่งเหตุผลก็คือ นโยบายทางการเงินของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสและการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ปริมาณเงินในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 22% ในปีนี้ และยังไม่จำกัดแค่นั้น ยังมีการคาดการณ์ว่าจะใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอีก $2 ล้านล้านดอลลาร์ภายใต้โครงการ QE
    สุดท้ายคือเหตุผลประการที่สามที่ทำให้บิทคอยน์ทะยานขึ้น ไม่นานมานี้ จำนวนการซื้อขายบิทคอยน์สุทธิบนตลาดแลกเปลี่ยนเงินคริปโตมีจำนวนมากกว่าการขายของนักขุดเหรียญเป็นอย่างมาก เมื่ออ้างอิงจากข้อมูลของบริษัทนักวิเคราะห์ Glassnode นายวิล วู นักวิเคราะห์เงินคริปโตชี้ว่า การซื้อขายรายชั่วโมงของ BTC ในตลาดแลกเปลี่ยนมีจำนวนมากกว่าการขายของนักขุดเหรียญถึง 20 เท่า นายลาร์ค ดาวิส ผู้เชี่ยวชาญอีกท่านหนึ่งก็ยืนยันด้วยว่า ในเดือนที่แล้วมีการขุดเหรียญเพียง 27,000 BTC เท่านั้น ในขณะที่มีเงินขายออกไปจากตลาดถึง 145,000 เหรียญ นอกจากนี้ เงินส่วนใหญ่นั้นไหลเข้าสู่ “วอลเล็ตเย็น” เพื่อเป็นการสะสมมูลค่า
    ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญหลายคนมองว่า ความไม่สมดุลระหว่างปริมาณและความต้องการของ BTC จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกระตุ้นให้ราคาเหรียญเติบโต เหตุผลก็คือ รัฐบาลจีนเริ่มโจมตีชุมชนนักขุดเหรียญที่ใหญ่ที่สุดในจีน โดยปักกิ่งสั่งแบน ICOs และเงินคริปโตถูกจัดให้อยู่ในสินทรัพย์การเก็งกำไรที่ไม่เป็นที่ปรารถนา นอกจากนี้ ยังมีการสั่งระงับบัญชีธนาคารของนักขุดเหรียญ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ที่เหรียญบิทคอยน์มากกว่าครึ่งหนึ่งถูกขุดในจีนในปัจจุบัน
    กลับมาสู่ผลลัพธ์ของสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนี Bitcoin Fear & Greed Index แข็งตัวอยู่ที่ 86 เมื่อช่วงเย็นวันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน ในโซนที่นักพัฒนาดัชนีออกแบบให้ว่าเป็น “ความโลภสูงอย่างยิ่ง” ค่าดังกล่าวสอดคล้องกับการที่คู่ BTC/USD อยู่ในภาวะแรงซื้อมากเกินไปและชี้ว่าราคาจะมีการปรับฐาน

 

สำหรับบทวิเคราะห์ของสัปดาห์นี้ เราได้สรุปความเห็นของบรรดานักวิเคราะห์มากมาย รวมถึงคำคาดการณ์ที่วิเคราะห์จากพื้นฐานทางเทคนิคและสถิติกราฟต่างๆ โดยเราสามารถสรุปผลวิเคราะห์ได้ดังต่อไปนี้:

  • EUR/USD ปัญหาของสหรัฐฯ อธิบายไว้แล้วในช่วงแรกของบทรีวิวนี้ เมื่อพิจารณาสถานการณ์สำหรับปีหน้า Goldman Sachs ทำนายว่า USD จะอ่อนค่าลง 6% ในอัตราแลกเปลี่ยนในปี 2021 ส่วน Citibank ยังไม่ตัดโอกาสที่ดัชนีดอลลาร์อาจดิ่งลงมา 20% และ Morgan Stanley คาดการณ์ว่า EUR/USD จะเติบโตขึ้นไปจากระดับ 1.1800-1.1900 ในปัจจุบัน ไปที่ 1.2500
    เมื่อพิจารณาอนาคตอันใกล้ ผู้เชี่ยวชาญยังหันไปทางค่าเงินยุโรปมากกว่า 65% มองว่า ราคาคู่นี้จะตัดผ่านระดับแนวต้านที่ 1.1900 ในไม่กี่สัปดาห์ที่จะถึงนี้ และขยับถึงโซน 1.2000-1.2100 อีก 35% คาดการณ์ว่าราคาจะขยับลงมายังระดับ 1.1700-1.1750 โดยมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะลงมาถึงระดับต่ำสุดของวันที่ 4 พฤศจิกายนที่ 1.1600 เพียง 10% เท่านั้น ณ ขณะนี้
    การวิเคราะห์กราฟชี้ว่า อินดิเคเตอร์เทรนด์ 90% และออสซิลเลเตอร์ 75% ในกรอบ D1 สนับสนุนแนวโน้มตลาดกระทิง ในขณะที่ออสซิลเลเตอร์ 25% ที่เหลือให้สัญญาณว่า ราคาอยู่ในโซน overbought โดยมีแนวรับใกล้ที่สุด คือ  1.1740 และ 1.1685
    สำหรับเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในสัปดาห์ที่จะถึงนี้ เราควรให้ความสนใจกับดัชนีกิจกรรมทางธุรกิจในเยอรมนี และยูโรโซน ซึ่งจะประกาศออกมาในวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน สถิติมหภาคจากสหรัฐฯ รวมถึง GDP ในไตรมาสที่สามและข้อมูลคำสั่งซื้อสินค้าคงทนในวันพุธที่ 25 พฤศจิกายน รวมถึงผลการประชุมของธนาคารเฟดสหรัฐฯ ในวันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน
  • GBP/USD อัตราการเติบโตเดือนตุลาคมของกิจกรรมผู้บริโภคในสหราชอาณาจักรน่าจะเป็นเพราะประชาชนส่วนใหญ่ซื้อสินค้าเพื่อการใช้งานในอนาคตก่อนคำสั่งล็อคดาวน์จะมีผล ดังนั้น จึงมีความเป็นไปได้ว่า ตัวเลขดังกล่าวจะกลับมาติดลบในเดือนพฤศจิกายน ยอดขายผ่านร้านค้าออนไลน์ก็จะไม่ช่วยแต่อย่างใด เรายังจะต้องไม่ลืมโอกาสความเป็นไปได้มากขึ้นของการแยกตัวออกจากอียูโดยปราศจากข้อตกลงทางการค้า ผู้นำของประเทศสมาชิกอียูหลายประเทศเริ่มเตรียมความพร้อมสำหรับการแยกตัวเบร็กซิตแบบเด็ดขาดตามรายงานของ The Times
    ณ ตอนนี้ ความเห็นของนักวิเคราะห์แบ่งออกเป็นกลุ่มต่าง ๆ เท่า ๆ กัน แต่เมื่อปรับมาเป็นการวิเคราะห์รายเดือน พบว่ามีความโน้มเอียงไปฝั่งตลาดหมีมากกว่า ผู้เชี่ยวชาญ 65% ไม่ค่อยมั่นใจกับเงินปอนด์ โดยคาดว่าคู่ GBP/USD จะขยับลงมา 300-400 จุด
    แต่ภาพที่ได้จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคยังคงดูมีความหวัง ออสซิลเลเตอร์ 75% และอินดิเคเตอร์เทรนด์ 100% ในกรอบ H4 และ D1 รวมถึงการวิเคราะห์กราฟในกรอบ H4 ให้สัญญาณสีเขียว อีกหนึ่งมุมมองทางเลือกเป็นของออสซิลเลเตอร์ 25% และการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โดยให้ระดับแนวรับไว้ที่ 1.3200, 1.3165, 1.3100, 1.3035 และ 1.2855 และระดับแนวต้านที่ 1.3310, 1.3400 และราคาสูงสุดของวันที่ 1 สิงหาคมที่ 1.3480
    สำหรับดัชนีเศรษฐกิจมหภาค เราขอแนะนำให้คุณให้ความสนใจกับดัชนี Markit PMI เดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะประกาศในวันที่ 23 พฤศจิกายน และจากการคาดการณ์ชี้ว่า ดัชนีอาจปรับลงมามากกว่า 15% จาก 51.4 เหลือ 42.5
  • USD/JPY กว่าจะมีความชัดเจนปรากฏขึ้นเกี่ยวกับนโยบายทางการเงินในสหรัฐฯ ในอนาคต ในระหว่างนี้ ฝั่งที่ได้เปรียบจะตกเป็นของเงินเยนญี่ปุ่นที่มีความอนุรักษ์นิยมมากกว่า นี่คือความเห็นของนักวิเคราะห์อย่างน้อย 45% สนับสนุนโดยอินดิเคเตอร์ 80% บนกรอบเวลาทั้งสอง ส่วนผู้เชี่ยวชาญ 25% สนับสนุนว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น รวมถึงแนวโน้มขาขึ้นของ USD/JPY อีก 30% ที่เหลือเห็นด้วยกับการวิเคราะห์กราฟในกรอบ D1 โดยมีท่าทีเป็นกลาง สำหรับแนวรับอยู่ที่บริเวณ 103.65, 103.15 และ 102.00 ส่วนแนวต้าน ได้แก่ 104.50, 105.15 และ 105.70
    ด้านการวิเคราะห์กราฟให้ภาพว่า ราคาอาจรีบาวด์ขึ้นมาจากเส้นตรงกลางของกรอบราคาขาลงในโซน 103.40 บนกรอบ D1 และราคาอาจกลับไปสู่เพดานด้านบนที่บริเวณ 105.40-105.65
  • คริปโตเคอเรนซี นักลงทุนหลายคนกำลังสงสัยอยู่ว่า การเข้าซื้อบิทคอยน์ในเวลานี้นั้นสายเกินไปหรือไม่ ดัชนี Crypto Fear & Greed Index รวมถึงอินดิเคเตอร์ตัวอื่น ๆ ชี้ว่าราคาอยู่ในโซน overbought มาเป็นเวลานาน และราคาได้ขยับเกือบถึง $20,000 อันเป็นจุดที่ตั้งตารอคอย โดยยังไม่มีการปรับฐานอย่างจริงจังใด ๆ เกิดขึ้น
    เมย์ซี วิลเลียมส์ นักแสดงสาวที่รับบทเป็น อารยา สตาร์ค ใน Game of Thrones ถามคำถามกับผู้ติดตามบนทวิตเตอร์ของเธอว่า เธอควรจะลงทุนในบิทคอยน์หรือไม่ ผู้ใช้งานมากกว่า 650,000 คนแสดงความเห็น โดย 50.7% ยืนหยัดให้ลงทุน 49.3 ให้คำตอบเป็นลบ ทำให้ผลลัพธ์แทบจะเท่ากัน จึงแปลว่าเทรนด์อาจมีโอกาสกลับทิศทางเกิดขึ้นได้
    มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่คาดการณ์ว่าคู่ BTC/USD จะขยับลงมายังแนวรับที่โซน $15,7000 แต่ก็มีผู้มองโลกในแง่ร้ายอย่างสุดโต่งที่พยายามย้ำเตือนให้นึกถึงความหายนะเมื่อปี 2018 ขณะที่ราคาทรุดตัวลงมาจากระดับสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ $20,000 เหลือ $3,125
    อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ สถานการณ์มีความแตกต่างไปจากปี 2018 อยู่บ้าง บิทคอยน์ไม่ได้แค่พิสูจน์ความเอาตัวรอดในเวลาที่ผ่านมา แต่ยังพิสูจน์ความสามารถในการทำกำไรมหาศาลได้อีกด้วย แม้แต่ เจมี ไดมอน ซีอีโอของบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง JPMorgan ก็ยอมรับสิ่งนี้ นักวิเคราะห์ของเขาแนะนำให้ลงทุนในบิทคอยน์ ซึ่งไดมอนครั้งหนึ่งเคยเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “กลโกงและความโง่” เมื่อปี 2017 อีกหนึ่งบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านระบบการชำระเงินอย่าง PayPal ได้เปิดตัวการบริการการลงทุนด้วยเงินคริปโตไม่นานมานี้ เพราะความต้องการสูง และได้ทวีคูณเพดานจำกัดที่กำหนดไว้เรียบร้้อยแล้ว ซึ่งตอนนี้ลงทุนได้สูงสุด $20,000
    คำทำนายของ นายทอม ฟิตซ์แพทริก ผู้อำนวยการบริหารของ Citibank หนึ่งในธนาคารขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ชี้ว่า เนื่องด้วยการแข็งค่าขึ้นของเงินทองคำดิจิทัล อัตราแลกเปลี่ยนของบิทคอยน์อาจขยับถึง $318,000 ภายในปี 2021 นายฟิตซ์แพทริก เชื่อว่า ตลาดบิทคอยน์ในขณะนี้คล้ายกันกับช่วงปี 1970s เมื่ออัตราเงินเฟ้อของดอลลาร์ทำให้ความต้องการในทองคำสูงขึ้น ในปี 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ของสหรัฐฯ ต้องออกมาปฏิรูป และละทิ้งระบบเบร็ตตัน วูดส์ และการผูกตรึงเงินดอลลาร์กับทองคำ ทำให้ราคาทองคำขยับขึ้นต่อเนื่องมาตลอด 50 ปีถัดมา
    ในรายงานฉบับใหม่ของเขาเรื่อง Bitcoin: Gold for the 21st Century นายฟิตซ์แพทริกเขียนไว้ว่า “บิทคอยน์เคลื่อนที่เข้าสู่ช่วงหลังวิกฤติกการเงินที่ยิ่งใหญ่ของปี 2008 เมื่อเกิดความเปลี่ยนแปลงในระบอบการเงินและเราปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นศูนย์” เขาเน้นย้ำว่า มาตรการกระตุ้นทางการเงินในปัจจุบันเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนากำลังนำพาเราไปสู่เงื่อนไขสภาพแวดล้อมที่คล้ายกันกับช่วงปี 1970s
    ดูเหมือนว่า ผู้ออกกฎหมายในวอชิงตันก็หันเข้าหาเงินคริปโตเช่นกัน แม้ว่าปักกิ่งจะเพิ่มแรงกดดันต่อนักขุดเหรียญ ซินเธีย ลุมมิส สมาชิกวุฒิสภาสหรัฐฯ วางแผนที่จะหารือเรื่องบิทคอยน์ในระดับชาติ “บิทคอยน์จะขุดออกมาทั้งหมด 21 ล้านเหรียญเท่านั้นและก็หมดแล้ว นี่คือการออกเหรียญที่จำกัด ดังนั้น ฉันมั่นใจว่ามันจะกลายเป็นผู้เล่นที่สำคัญในฐานะที่เก็บสะสมมูลค่าตามกาลเวลา” กล่าวโดยลุมมิส
    โรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้ประกอบการชื่อดังชาวอเมริกัน และเจ้าของหนังสือขายดีเรื่อง Rich Dad Poor Dad เห็นด้วยกับสมาชิกวุฒิสภาท่านนี้เช่นกัน แต่นี่หมายความว่าอะไร? หมายความว่า คุณจำเป็นจะต้องซื้อบิทคอยน์และทองคำให้มากที่สุด หรือว่ารถไฟออกจากสถานีแล้ว ดอลลาร์กำลังจะตายแล้ว และเมื่อดอลลาร์ตกต่ำ ราคาจะไม่มีความหมายอีกต่อไป สิ่งสำคัญก็คือคุณมีทองคำ เงิน และบิทคอยน์จำนวนเท่าไรต่างหาก”
    สำหรับคำทำนายในอนาคตอันใกล้นี้ ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ (80%) ให้การสนับสนุนการเคลื่อนที่ด้านข้างของ BTC/USD ในช่วง $18,000-19,000 และมีเพียง 20% เท่านั้นที่คาดว่าราคาจะตกลงมาต่ำกว่า $18,000 ไม่มีใครโหวตว่าราคาจะตัดทะลุแนวต้านที่ $19,000 ได้สำเร็จในสัปดาห์หน้านี้ อย่างไรก็ตาม หากเราพูดถึงคำคาดการณ์ก่อนสิ้นปี นักวิเคราะห์ 70% เชื่อว่าจะได้เห็นบิทคอยน์ทำราคาสูงสุดครั้งใหม่ในประวัติศาสตร์

บทวิเคราะห์ฟอเร็กซ์และคริปโตเคอเรนซีประจำวันที่  23 - 27 พฤศจิกายน 20201

 

กลุ่มนักวิเคราะห์ NordFX

 

หมายเหตุ: เนื้อหาดังกล่าวไม่ควรยึดถือเป็นคำแนะนำในการลงทุนหรือเป็นคำปรึกษาในการซื้อขายในตลาดการเงิน โดยเนื้อหาข้างต้นเป็นไปเพียงเพื่อจุดประสงค์ในการให้ข้อมูลเท่านั้น การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงและอาจทำให้เกิดการสูญเสียเงินฝากได้


« การวิเคราห์ตลาดและข่าว
รับการฝึก
มือใหม่ในตลาดใช่ไหม?ใช้ส่วน เริ่มฝึกฝน เริ่มฝึกฝน
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)