พฤษภาคม 14, 2021

เคล็ดลับไม่กี่ประการเกี่ยวกับวิธีการเลือกสัญญาณที่ทำกำไรเพื่อติดตามใน Copy Trading เพื่อให้คุณไม่ต้องเสียเงิน คำแนะนำเหล่านี้เหมาะสำหรับบัญชี PAMM ด้วยเช่นกัน

วิธีทำรายได้มากกว่าการขาดทุนใน Copy Trading และ PAMM1

ปัญหาหลักของ Copy Trading

Copy Trading คือ บริการที่สะดวกและมีประโยชน์เป็นอย่างมาก ช่วยให้ทุกคนสามารถรับรายได้เชิงรับในตลาดการเงิน นอกจากนี้ รายได้นี้ยังอาจสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารถึงสิบ ร้อย และแม้แต่หลายพันเท่า ในขณะเดียวกัน คุณไม่จำเป็นต้องเป็นนักเทรดผู้มีประสบการณ์ คุณไม่จำเป็นต้องศึกษาบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและการวิเคราะห์ทางเทคนิคทั้งหมด คุณไม่ต้องนั่งหน้าจอทั้งวันทั้งคืนเพื่อทดสอบความอดทนของคุณ แค่เพียงคุณเลือกนักเทรดผู้ให้บริการสัญญาณเทรด ติดตามสัญญาณ และธุรกรรมทั้งหมดจะถูกคัดลอกไปยังบัญชีของคุณโดยอัตโนมัติ สิ่งที่คุณต้องทำเพียงแค่มองดูความมั่งคั่งของคุณเติบโตเพิ่มพูนขึ้น

ง่ายใช่ไหม? ถ้าพูดไปก็ใช่ แต่ในทางปฏิบัติ หลายอย่างจริง ๆ แล้วซับซ้อนมากกว่านั้น และปัญหาสำคัญหลักก็คือ การเลือกผู้ให้บริการที่สามารถนำพากำไรอย่างมั่นคงมาให้คุณได้จริง ๆ คนที่จะไม่ทำให้คุณต้องหัวใจวายไปเพราะเงินฝากเป็นศูนย์ ซึ่งสัญญาณที่ติดตามนั้นจะต้องมีความน่าเชื่อถือ

เพื่อช่วยให้นักลงทุนหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ แต่ละสัญญาณบนเว็บไซต์บริษัทโบรกเกอร์ NordFX จะได้รับการติดตามทางออนไลน์โดยใช้หลักเกณฑ์กว่า 50 ชนิด ซึ่งสะท้อนให้เห็นผลการวิเคราะห์ทั้งในรูปแบบกราฟและตาราง

หลักเกณฑ์บางส่วนเหล่านี้มีความสำคัญโดยพื้นฐาน ในขณะที่บางส่วนเป็นหลักเกณฑ์ประกอบภาพรวม นักลงทุนที่พอมีประสบการณ์จะสามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายดาย แล้วมือใหม่ล่ะ? บริการนี้ก็ออกแบบมาเพื่อมือใหม่ตั้งแต่ต้นด้วยเช่นกัน

บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อให้คำแนะนำง่าย ๆ กับคุณไม่กี่ข้อ ซึ่งอาจจะไม่ได้ช่วยให้คุณเลือกสัญญาณที่ดีที่สุด แต่แน่นอนว่าจะช่วยให้คุณมองข้ามบรรดาสัญญาณที่เสี่ยงต่อการติดตาม

วิธีทำรายได้มากกว่าการขาดทุนใน Copy Trading และ PAMM2

กลอุบายมาร์ติงเกล หรือ ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยมากที่สุดในหมู่ผู้ติดตามมือใหม่

ความรู้สึกที่คนเราส่วนใหญ่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี คือ ความโลภ ความโลภนั้นเป็นหัวใจสำคัญของข้อผิดพลาดนี้ ใครบ้างจะไม่อยากทำเงินได้มากและเร็วที่สุดบ้าง! ดังนั้น เวลาที่ดูคะแนนเรตติ้งของสัญญาณ สิ่งแรกที่เราให้ความสนใจมักจะเป็นผลกำไร (ผลกำไรในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง)

บวก 200%, 300%, 400%, 500% ต่อเดือน ตัวเลขเหล่านี้อาจทำให้เราดีใจ แต่ไม่ว่ากรณีใด ๆ เราไม่ควรลืมว่า ยิ่งผลกำไรสูงเท่าไร ความเสี่ยงในการสูญเสียเงินของคุณจะยิ่งสูงขึ้นมากเท่านั้น สถิติชี้ให้เห็นว่าสัญญาณเหล่านี้ใช้ได้ไม่นาน และมักจะจบด้วยผลลัพธ์เงินฝากเหลือศูนย์

โดยทั่วไปแล้ว ผู้ให้บริการสัญญาณเหล่านี้มักจะเทรดโดยไม่มี Stop Loss และใช้กลยุทธ์ที่ดุดันเกินพอดีทำให้เกิดตำแหน่งที่ขาดทุนสะสมได้ กลยุทธ์ที่คล้ายกันนี้จะใช้บ่อยในอัลกอริทึมของหุ่นยนต์หรือ advisor สำหรับการเทรดแบบอัตโนมัติ

การเทรดวิธีนี้มักเรียกว่า ระบบมาร์ติงเกล (Martingale) และเป็นระบบที่เข้ามาสู่ตลาดการเงินจากการพนัน มาร์ติงเกลที่ “สะอาด” มีหลักการคือให้เพิ่มตำแหน่งที่ขาดทุนคูณสองเพื่อออกจากภาวะขาดทุนสะสม ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือจะได้หลายธุรกรรมที่ทำกำไร กล่าวคือ สมมติว่าคุณมีคำสั่งขายที่ปริมาณ 1 ล็อต แต่ราคาขยับขึ้น และคุณก็จะเริ่มขาดทุน จากนั้นคุณจะเปิดอีกหนึ่งคำสั่งขาย แต่ในครั้งนี้จะเปิดในปริมาณ 2 ล็อต จากนั้นก็เป็น 4 ล็อต และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และคุณรอจนกว่าราคาจะกลับสู่ทิศทางที่คุณต้องการ และคุณจึงจะปิดคำสั่งทั้งหมด (ด้วยปริมาณ 1+2+4+8+16+...ล็อต) พร้อมผลกำไร

นอกเหนือไปจากมาร์ติงเกลแบบ “สะอาด” ด้วยการทวีคูณตำแหน่งที่ขาดทุนแล้ว ยังมีการใช้รูปแบบการเพิ่มตำแหน่งอื่น ๆ เช่น เพิ่มที่อัตรา 1.5 ซึ่งจะทำให้ชุดคำสั่งจะเป็นไปตามนี้ คือ 1.0+1.5+2.25+3.38+5.06 ฯลฯ

เทคนิคนี้ใช้ได้ผลในช่วงที่ตลาดวิ่งด้านข้าง แต่เทรนด์ที่มีกำลังแรงจะส่งผลให้เกิดการขาดทุนสะสมครั้งใหญ่ บางครั้งอาจอยู่ที่ 85-95% และในกรณีที่เกิดเทรนด์กำลังแรงมาก ๆ โดยไม่มีการปรับฐานจริงจังเกิดขึ้น แน่นอนว่าวิธีนี้จะทำให้เงินฝากคุณเป็นศูนย์ได้ และเทรนด์ประเภทนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง แม้แต่กับคู่ EUR/USD การเคลื่อนที่ในทิศทางเดียวอาจขยับได้ถึง 500-800 จุด และไม่จำเป็นต้องพูดถึงคริปโตเคอเรนซีที่มีความผันผวนราวกับ “พายุ” มากขนาดไหน ซึ่งราคาสามารถกระโดดไปมา 25-30% ได้ตลอดเวลา

ด้วยกลยุทธ์ดังกล่าว กราฟของยอดเงินคงเหลือ (Balance) และการเติบโตของยอดเงินรวม (Equity) อาจดูน่าดึงดูดมากในช่วงเวลาหนึ่ง และแสดงให้เห็นเส้นขาขึ้นที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ในขณะเดียวกัน อย่างที่เรากล่าวไปแล้ว กลยุทธ์แบบนี้ทำให้เกิดการขาดทุนสะสมในบัญชีได้เป็นระยะ ๆ ที่ต้องระมัดระวัง (เส้นสีเขียวบนกราฟ) ซึ่งบางครั้งก็สามารถออกจากสถานการณ์ดังกล่าวได้ (กรณี A และ B) และบางครั้งมันก็อาจจะนำไปสู่หายนะโดยสิ้นเชิง ทำให้เงินฝากเหลือศูนย์และบัญชีต้องถูกปิดลง (จุด C)

3 หลักเกณฑ์หลักสำหรับการเลือกสัญญาณ


เราขอเตือนคุณโดยตรงเลยว่า สิ่งที่จะกล่าวด้านล่างนี้เป็นเพียงคำแนะนำของเราที่สะสมมาจากประสบการณ์หลายปี แต่การตัดสินใจสุดท้ายจะขึ้นอยู่กับคุณในทุกกรณี

แล้วหลักเกณฑ์อะไรบ้างที่เราควรพิจารณาให้ความสำคัญ? คือ หลักเกณฑ์ที่ประกอบกันระหว่าง 1) ระยะเวลาของสัญญาณ 2) ความสามารถในการทำกำไร และ 3) การขาดทุนสะสมสูงสุด

1) ยิ่งสัญญาณให้บริการมาแล้วเป็นเวลานานเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น ในความเห็นของเรา เราควรจะพิจารณาสัญญาณที่มีความมั่นคงอย่างน้อยหกเดือน หรือถ้าจะให้ดีก็คือหนึ่งปีขึ้นไป

2) ชัดเจนว่ายิ่งผลตอบแทนสูงมากเท่าไร ยิ่งดีเท่านั้น แต่การเลือกสัญญาณสองสัญญาณที่มีผลกำไร 200% เท่ากัน โดยอันแรก 1) ในช่วงเวลาหนึ่งเดือน และ 2) ในเวลาหนึ่งปี เราควรจะเลือกตัวเลือกที่สอง เพราะในกรณีนี้ ผลกำไรยังคงทำได้สูง และความเสี่ยงก็ต่ำกว่ามาก

3) หลักเกณฑ์เรื่องการขาดทุนสะสมเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างยิ่งเช่นกันสำหรับการประเมินความเสี่ยง อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้อาจไม่สามารถชี้ชัดได้ในระยะเวลาอันสั้นเหมือนกับในระยะยาว เช่น สัญญาณที่ให้บริการมาแค่เพียงหนึ่งเดือน ซึ่งตลาดอยู่ในช่วงนิ่งสงบ (ไซด์เวยส์) ตลอดในช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้ผลการขาดทุนสะสมอาจดูไม่มากเท่าไรนัก แต่ในกรณีที่มีความผันผวนของราคาสูง การขาดทุนอาจพุ่งสูงขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า และทำให้เงินฝากของคุณเป็นศูนย์ได้นั้น ดังนั้น หากคุณจะต้องติดตามสัญญาณใด ๆ ควรจะดูที่ตัวเลขและประเมินความผันผวนของสินทรัพย์ในช่วงเวลานั้น ๆ

แม้แต่ชาวโรมันโบราณยังเคยกล่าวว่า "Festina lente" หรือให้ "รีบอย่างช้า ๆ" สำนวนนี้ก็ใช้ได้กับคนยุคใหม่ ในฐานะรากฐานของการบริหารจัดการเงินในสมัยใหม่ ตลอดจนการบริหารสินทรัพย์ในตลาดการเงินด้วยเช่นกัน ไม่จำเป็นที่เราจะต้องทำเงินให้ได้ทั้งหมดในคราวเดียว ยิ่งกำไรสูงขึ้น ความเสี่ยงยิ่งมากขึ้น และความโลภคือศัตรูตัวฉกาจของนักลงทุน หรือ ศัตรูของคุณนั่นเอง!


« บทความมีประโยชน์
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)