พฤศจิกายน 1, 2021

ตลาดการเงินในขณะนี้มีกลยุทธ์การซื้อขายเพื่อกำไรหลายรูปแบบ โดยต่างอยู่บนพื้นฐานของความรู้ทางวิทยาศาสตร์ล่าสุด ทุกคนต่างเฝ้าฝันถึงการเปิดหนทางสู่อนาคตด้วยการทำนายพฤติกรรมเครื่องมือทางการเงินอย่างแม่นยำ สิ่งนี้เองที่จะส่งผลต่อทั้งสภาพของผู้ลงทุนและบางครั้งก็ส่งผลถึงความสำเร็จขององค์กรลงทุนที่ใช้ทรัพยากรอย่างน่าพึงพอใจด้วยเช่นกัน ทั้งอินดิเคเตอร์แบบอิงความแปรปรวนและออสซิลเลเตอร์นี้ต่างเป็นเครื่องมือวิเคราะห์เชิงเทคนิคที่สำคัญและเชื่อถือได้มากที่สุดรูปแบบหนึ่ง

ความแปรปรวนฟอเร็กซ์คืออะไร

ความแปรปรวน (Impulse) คือการเปลี่ยนแปลงของราคาของเครื่องมือทางการเงินในช่วงเวลาที่แน่นอนช่วงหนึ่ง หากให้อธิบายอย่างเจาะจงลงไป ความแปรปรวนคือระยะที่เปลี่ยนแปลงไปภายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น มูลค่ากระแส M ในช่วงเก้าวัน เท่ากับความแตกต่างของราคาในวันนี้กับราคาเมื่อเก้าวันที่แล้ว

ในบางครั้ง จะมีการใช้เครื่องมือต่างกันในระบบสัญลักษณ์เดียวกัน โดยจะมีการแสดงค่าความแปรปรวนเป็นเปอร์เซ็นต์ ยกตัวอย่างเช่น ความแปรปรวนหนึ่งวันเท่ากับกำไรหรือการขาดทุนที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับราคาดั้งเดิม

ทั้งนี้ มูลค่าของความแปรปรวนนำมาใช้เพื่อเกลี่ยระดับราคาและเป็นอินดิเคเตอร์เทรนด์ที่ค่อนข้างเชื่อถือได้ โดยปกติแล้ว ความแปรปรวนไม่สามารถเกลี่ยระดับราคาได้ดีเท่าค่าของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ แต่ก็มีประโยชน์หลักคือ สามารถแสดงผลได้ทันทีโดยไม่ต้องรอ ในขณะที่เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ต้องใช้เวลาในการแสดงผลอย่างเลี่ยงไม่ได้

ความแปรปรวน (impulse) ในฐานะอินดิเคเตอร์เทรนด์1

ความแปรปรวนในฐานะอินดิเคเตอร์เทรนด์

เนื่องจากค่าความแปรปรวนคือความต่างของราคาที่ถูกเกลี่ยแล้ว ความแปรปรวนจึงถูกนำมาใช้เพื่อกำหนดเทรนด์ของราคาได้เช่นเดียวกับการใช้เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ ทั้งนี้ ยิ่งช่วงระยะเวลาที่ใช้คำนวณความแปรปรวนกว้างมากเท่าใด การเกลี่ยผลลัพธ์ก็ยิ่งออกมาดีขึ้นเท่านั้น

โปรแกรมซื้อขายหุ้น Metatrader-4 มีอินดิเคเตอร์ความแปรปรวนของกระแสที่สะดวกและใช้งานง่าย โดยมูลค่ามักผันปรวนบริเวณเส้นเฉลี่ยที่ 100  หากมูลค่าของอินดิเคเตอร์ย้ายไปอยู่เหนือเส้น 100 นี้ หมายความว่า เทรนด์เปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น (สัญญาณซื้อ) และในขณะเดียวกัน มูลค่าของอินดิเคเตอร์ที่ต่ำลงกว่า 100 ก็เป็นการส่งสัญญาณขาย ซึ่งคุณสามารถสร้างเส้นแนวนอนเหนือและใต้เส้นมูลค่า 100 ได้เช่นกันเพื่อช่วยคัดกรองสัญญาณเท็จออกไป

คุณสามารถดูแผนภาพตัวอย่างของการใช้อินดิเคเตอร์ความแปรปรวนของกระแสได้ (การคำนวณนี้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของช่วงเวลา 10 ช่วง)

ผู้ใช้งานยังสามารถเปลี่ยนช่วงเวลาคำนวณค่าความแปรปรวน เปลี่ยนสีและรูปแบบของเส้นอินดิเคเตอร์ได้ ปักหมุดมูลค่าสูงสุดและต่ำสุด กำหนดราคาช่วงเปิดตลาดและปิดตลาดเพื่อใช้ในการคำนวณ และจุดสูงสุดและต่ำสุดในช่วงเวลาที่กำหนดได้เช่นกัน

โดยปกติแล้ว ช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่จะใช้คำนวณควรเลือกโดยอ้างอิงจากข้อมูลที่ผ่านมา โดยพิจารณาจากลักษณะของเครื่องมือทางการเงินแต่ละอย่างโดยเฉพาะ เทรดเดอร์บางรายยังใช้ตัวแปรอย่าง “อัตราการเปลี่ยนแปลง” หรือ “ความเร็ว” ของการเปลี่ยนแปลงราคาในการคำนวณ ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการคำนวณราคาที่มีแนวโน้มเคลื่อนที่ไปด้านข้าง ทั้งนี้ หาก “ความเร็ว” ของการเคลื่อนที่ของราคาใกล้เคียงกับศูนย์ จะเป็นสัญญาณชัดเจนว่าราคาจะคงที่

วิธีเลือกเมื่อคุณเข้าสู่การซื้อขาย

เป็นที่เข้าใจกันว่า กลยุทธ์ที่อ้างอิงความแปรปรวนนี้สะดวกมากพอให้ผู้ใช้งานเลือกเวลาทำการซื้อขายได้เองหลังปรับฐานจากความเคลื่อนไหวของเทรนด์ อินดิเคเตอร์ของช่วงเวลาที่สั้นกว่า เร็วกว่า จะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยของราคา ในขณะเดียวกัน อินดิเคเตอร์ของช่วงเวลาที่ยาวกว่าจะอยู่เหนือหรือใต้เส้นกลางจนกว่าเทรนด์จะสิ้นสุด

ยกตัวอย่างเช่น ในการเทรดระยะกลาง คุณสามารถเลือกช่วงเวลาที่สั้นเพื่อคำนวณความแปรปรวน (เช่น 6 หรือ 5 วัน) โดยคำนวณกับช่วงเวลาที่ยาวกว่า (ตั้งแต่ 30 ถึง 50 วัน) การใช้อินดิเคเตอร์เหล่านี้ด้วยกันจะทำให้บ่งชี้โอกาสเปิดตำแหน่งที่ดีเยี่ยมได้ โดยอินดิเคเตอร์ที่สั้นกว่าจะส่งสัญญาณให้ผู้ใช้งานเข้าตลาดในทิศทางระยะยาวหลังปรับฐานแล้ว

การซื้อขายแบบสุดโต่ง

อีกวิธีที่น่าสนใจในการใช้อินดิเคเตอร์ที่อ้างอิงจากความแปรปรวนคือ ใช้เพื่อบ่งชี้จุดที่มีแรงซื้อหรือแรงขายมากเกินไปของเครื่องมือทางการเงิน โดยใช้วิธีนี้เพื่อหาจุดสูงสุดสัมพัทธ์ของมูลค่าความแปรปรวนของข้อมูลที่ผ่านมา

เชื่อกันว่า การเคลื่อนไหวมากที่สุดในช่วงระยะเวลาหนึ่งจะเป็นตัวจำกัดมูลค่าของอินดิเคเตอร์ความแปรปรวนทั้งในแดนบวกและแดนลบ โดยช่วงระยะเวลาดังกล่าวคือช่วงเวลาที่คำนวณโดยอินดิเคเตอร์ นอกจากนี้ ยังเป็นที่ทราบกันดีว่าตลาดที่มีแรงซื้อมากเกินไป หมายความว่า  ตลาดจะอยู่ในภาวะ “กระทิง” น้อยลง มีการเคลื่อนไหวขาขึ้นน้อยลง ส่งผลให้ตลาดอยู่ในขาลง และหากตลาดมีแรงขายมากเกินไป ก็จะมีการเคลื่อนไหวขาขึ้นมากขึ้น

สิ่งสำคัญของวิธีนี้คือ การสร้างเส้นแนวนอนเหนือและใต้เลขศูนย์บนแผนภูมิอินดิเคเตอร์ของความแปรปรวนเพื่อบ่งชี้ราคาสุดโต่ง คุณสามารถกำหนดตำแหน่งของเส้นเหล่านี้ได้ หรือเลือกเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าสูงสุดของอินดิเคเตอร์ได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่น คุณสามารถกำหนดตำแหน่งของเส้นเพื่อให้มูลค่าเพียง 5 เปอร์เซ็นต์ของมูลค่าอินดิเคเตอร์ อยู่เหนือหรือใต้เส้นดังกล่าวได้

การใช้คำสั่งหยุด (stop order) เมื่อใช้กลยุทธ์ที่อ้างอิงความแปรปรวน

การซื้อขายในตลาดการเงินมีความเสี่ยงสูง คุณจึงควรคำนึงถึงการจำกัดการขาดทุนที่เป็นไปได้อย่างยิ่ง เนื่องจากทุกคนต่างทราบกันดีว่าการจัดการความเสี่ยงเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญของระบบการซื้อขายใดๆ ก็ตาม เพื่อให้ผู้ใช้งานประสบความสำเร็จ ผู้ใช้งานควรวางจุดคำสั่ง หยุดเหนือมูลค่าสูงสุดที่เป็นไปได้ของอินดิเคเตอร์ความแปรปรวน หรือใต้มูลค่าต่ำสุดของระบบเทรนด์ นอกจากนี้ คุณยังสามารถตั้งจุดหยุดการขาดทุนแบบเคลื่อนที่ (trailing stop) ตามราคา เพื่อให้ตามเทรนด์ได้อีกด้วย

นอกจากนี้ คุณยังสามารถกำหนดระดับราคาที่วิ่งทะลุกรอบที่ตั้งไว้ได้ โดยกำหนดเส้นแนวนอนที่ช่วงเวลาการซื้อขายปกติ เพื่อป้องกันไม่ให้ราคาเคลื่อนที่จากระดับเหล่านี้จนอาจเกิดลักษณะ pullback หรือราคาหุ้นที่ตกลงจากแนวรับแล้วถูกแรงซื้อดันขึ้นมา แต่กลับถูกแรงขายกดลงมาจนลงไปอยู่ที่จุดต่ำสุด

***
ทั้งนี้ มีอินดิเคเตอร์และกลยุทธ์หลากหลายที่อ้างอิงกับความแปรปรวน และมีบทความเกี่ยวกับเครื่องมือเหล่านี้มากมาย นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่สนใจศึกษาประเด็นนี้ในรายละเอียด เราขอแนะนำหนังสือชื่อ “กระแส ทิศทาง และความผันแปร” (Momentum, Direction and Divergence) โดยวิลเลียม บลอ (William Blau)
 
คุณสามารถทดลองเทรดโดยใช้บัญชีตัวอย่างเพื่อฝึกซื้อขายบนเว็บไซต์ NordFX ได้โดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน


« บทความมีประโยชน์
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)