หุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดในโลก เช่น บริษัท IBM, JP Morgan Chase, Coca-Cola, Mastercard, McDonalds, Microsoft, Twitter, UBER, eBay, Alibaba, Deutsche Bank และอีกหลายบริษัทนั้นเป็นส่วนหนึ่งของรายการสินทรัพย์ชั้นนำที่นำเสนอโดยบริษัทโบรกเกอร์ แต่เช่นเดียวกันกับสินทรัพย์การเงินอื่น ๆ สินทรัพย์เหล่านี้ไม่เพียงแต่จะเติบโตขึ้นเท่านั้น แต่ราคาก็ลดลงได้เช่นกัน ดังนั้น ทั้งนักเทรดและนักลงทุนจึงอาจได้ทั้งกำไรหรืออาจขาดทุนจากการเทรด
แน่นอนว่า ทุกคนอยากที่จะเลือกเส้นทางที่หนึ่ง เราจึงตัดสินใจที่จะมาเล่าให้ฟังว่า นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ผู้ทำเงินก้อนแรก $5 จากตลาดหลักทรัพย์เมื่ออายุ 11 ปี กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินทั้งหมด $96 พันล้านดอลลาร์เมื่ออายุ 90 ปี ได้อย่างไร
“โหร” (“The Seer”) “พ่อมดแห่งโอมาฮา” (“Wizard of Omaha,”) “เทพยารณ์แห่งโอมาฮา” (“Oracle of Omaha”) คือชื่อที่นักลงทุนในตำนานรายนี้ถูกเรียก ในปัจจุบัน เขาบริหารเครือบริษัทเพื่อการลงทุน Berkshire Hathaway ซึ่งประกอบด้วยบริษัทมากกว่า 60 แห่ง ย้อนกลับไปเมื่อปี 1941 นายวอร์เรน เด็กหนุ่มอายุ 11 ปี พร้อมกับพี่สาวของเขาเข้าซื้อหุ้น 3 หุ้นแรก ซึ่งพวกเขาขายหุ้นออกทันทีเมื่อราคาขึ้นเพียงเล็กน้อย กำไรที่ได้จากธุรกรรมครั้งนั้นคือ $5 แต่หุ้นยังคงขึ้นต่อ และหากเขาไม่ได้รีบขายหุ้นตัวนั้น เขาจะทำเงินได้อีก 100 เท่า คือ $500
นี่คือบทเรียนบทแรกในโลกการเงินของเขา ซึ่งยังมีบทเรียนอีกมากมายที่รอเขาอยู่ในเส้นทางชีวิต ในวัยเด็ก วอร์เรนทำเงินได้จากการเป็นเด็กส่งหนังสือพิมพ์ Washington Post และงานขายลูกกอล์ฟ และเมื่ออายุ 15 ปี เขากับเพื่อนก็ร่วมกันซื้อเครื่องเล่นสล็อตมือสองด้วยเงิน $25 ซึ่งพวกเขาติดตั้งที่ร้านตัดผมแห่งหนึ่งในพื้นที่ ในเวลาไม่กี่เดือน พวกเขายังติดตั้งเครื่องเล่นนี้เพิ่มอีกในร้านตัดผมอีกสามแห่งในโอมาฮา ซึ่งกลายมาเป็นธุรกิจที่จริงจังและขายกิจการออกไปเป็นเงิน $1,200 ซึ่งถือว่าเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมากในปี 1945
(ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจก็คือ นายบัฟเฟตต์ซื้อหุ้นในบริษัท Washington Post ด้วยเงิน $11 ล้านเหรียญในช่วงวิกฤติหุ้นปี 1973 ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์เดียวกับที่เขาเคยแจกจ่ายเมื่อครั้งยังเป็นเด็กหนุ่ม บางทีอาจเป็นความทรงจำสมัยเด็กที่กระตุ้นให้เขาทำธุรกรรมนี้)
เมื่อเขาจบจากวิทยาลัย นายบัฟเฟตต์เก็บเงินได้ $9,800 (กว่า $100,000 ณ ปัจจุบัน เมื่อปรับตามอัตราเงินเฟ้อ) ซึ่งกลายเป็นรากฐานที่นำไปสู่ทรัพย์สินหลายพันล้านเหรียญในอนาคตของเขา
Tantum possumus, quantum scimus หรือแปลว่า "เราทำได้เท่าที่เรารู้” นั้นเป็นภาษิตภาษาละติน นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ได้พิสูจน์ภาษิตนี้ให้เห็นจากประสบการณ์ของเขาอ หนึ่งในความสำเร็จที่สำคัญของเขาคือการศึกษาที่มหาวิทยาลัย Columbia University Business School ซึ่งมี นายเบนจามิน เกรแฮม ไอดอลของเขาเป็นครูผู้สอน
หนังสือเล่มดังของนายเกรแฮมเรื่อง “Securities Analysis” และ “Intelligent Investor” มีการตีพิมพ์ซ้ำหลายสิบปี แต่ผู้เขียนเองนั้นไม่ใช่แค่ครูและนักทฤษฎีที่ยอดเยี่ยมเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้ปฏิบัติที่ประสบความสำเร็จมากอีกด้วย นายเกรแฮมให้คำแนะนำที่ทรงคุณค่าในชั้นเรียนและกลายเป็นสิ่งที่ทดแทนการทำงานบนวอลล์สตรีทมาอีกหลายปี
หลังจากจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลอมเบียเมื่อปี 1954 นายบัฟเฟตต์ใช้เวลาสามปีไปกับการเทรดสินทรัพย์ ซึ่งนายเกรแฮมว่าจ้างให้เขาเป็นนักวิเคราะห์ด้านการลงทุน บัฟเฟตต์ทำงานให้เขาฟรี ๆ โดยมองว่าประสบการณ์ที่เขาได้รับจากการทำงานกับเกรแฮมนั้นประเมินค่าไม่ได้ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือไปจากประสบการณ์แล้ว ว่าที่ตำนานรายนี้ยังทำเงินได้อีกมหาศาล หลังจากที่เกรแฮมเกษียณอายุ บัฟเฟตต์เองก็กลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน และเดินทางจากนครนิวยอร์กกลับสู่บ้านเกิดที่โอมาฮา ซึ่งเป็นที่ที่เขาเริ่มเปิดบริษัทลงทุนเป็นของตนเอง
เวลาผ่านไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษ แต่ในปัจจุบัน นายวอร์เรน บัฟเฟตต์ ยังคงใช้เวลาทำงาน 80% ไปกับการแสวงหาความรู้ใหม่ ๆ ตามภาษิตที่ว่า Tantum possumus, quantum scimus นั่นเอง
นายบัฟเฟตต์เคยกล่าวไว้ไม่นานมานี้ในสารของเขาถึงผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway ว่าแม้แต่ “ลิงที่ถือเป้า” ก็สามารถทำเงินจากการลงทุนได้และเปรียบการบริหารเงินทุนกับการเป็นเจ้าของร้านอาหาร แต่เราคิดว่าเศรษฐีพันล้านรายนี้แค่เพียงเล่นมุกตลกเท่านั้น ดังนั้น เราจะให้ความสนใจกับกฎการลงทุนมากกว่า ซึ่งนายบัฟเฟตต์เองตั้งไว้เป็นฐานของประสบการณ์ชีวิตและการทำงานของเขา และกฎเหล่านี้นั้นช่วยให้เขากลายเป็นบุคคลที่เขาเป็นในทุกวันนี้:
1. การลงทุนจะต้องเป็นไปในระยะยาว หากคุณไม่มีเงินและความอดทนที่จะถือหุ้นเป็นเวลา 10 ปี คุณก็ไม่ควรจะถือหุ้นแม้เพียง 10 นาที
2. ความถี่ของการทำธุรกรรมส่งผลต่อผลตอบแทนบนพอร์ตการลงทุนเนื่องด้วยค่าธรรมเนียม
3. ลงทุนในสิ่งที่คุณรู้จักเป็นอย่างดี ลงทุนเฉพาะในอุตสาหกรรมที่คุณมีความคุ้นเคย หรือกล่าวได้ว่าคุณเข้าใจ “ฟิสิกส์” ของกระบวนการผลิต
4. ซื้อสินทรัพย์การเงินที่มีมูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง
5. ในขณะที่ซื้อสินทรัพย์ คุณควรให้ความสนใจกับปัจจัยพื้นฐานเป็นอันดับแรก ไม่ใช่ราคาที่มีการซื้อขายในปัจจุบัน
6. อย่าติดตามราคาหุ้นตลอดเวลา และอย่าเชื่อความผันผวนสุ่มสี่สุ่มห้า การคัดสรรหุ้นที่ดีต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐาน
7. กระบวนการลงทุนจำเป็นต้องมีการฝึกฝน
8. อย่าทำตามคนหมู่มากแบบตาบอด
9. เมื่อซื้อหุ้น คุณควรให้ความสำคัญกับรายได้ในอนาคต และไม่ใช่ผลงานในอดีต ดูบริษัทที่มีผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเมื่อวิเคราะห์ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน รวมถึงการจดสิทธิบัตรที่มีเอกลักษณ์ ใบอนุญาต และอื่น ๆ
10. เงินที่มีพร้อมลงทุนไม่ใช่สาเหตุที่ต้องลงทุนโดยทันที
11. คุณไม่สามารถลงทุนด้วยเงินที่ยืมมา
12. กำจัดการลงทุนที่ขาดทุนให้ทันเวลา
13. การจ่ายเงินปันผลก้อนงามอย่างเป็นประจำไม่มีความสำคัญในการสร้างพอร์ตการลงทุน
14. การลงทุนที่มีคุณค่ามากที่สุดคือการลงทุนในการพัฒนาตนเอง ประหยัด ขยัน และการทำงานหนัก คือคุณสมบัติที่สำคัญมากที่สุดอย่างหนึ่งของนักลงทุน
15. โปรดแน่ใจว่ากระบวนการลงทุนจะทำให้คุณมีความพึงพอใจในเรื่องศีลธรรม
ผู้อ่านที่ใส่ใจจะกล่าวว่ากฎของเศรษฐีพันล้านรายนี้นั้นเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวเท่านั้น และผู้ที่มีเงินลงทุนจำนวนมาก
ใช่ ก็จริงอยู่ นี่เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ของหนึ่งในนักลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก และในที่นี้เอง ต้องไม่ลืมว่าลูกค้า NordFX ไม่ใช่แค่สามารถลงทุนในระยะยาวได้เท่านั้น แต่ยังสามารถเข้าร่วมในการเทรดแบบประจำได้อีกด้วย (ความแตกต่างข้อที่ 1) การเทรดสัญญา CFD ของหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ที่สุดของโลกนั้นช่วยให้คุณทำเงินได้ไม่ใช่แค่จากการเติบโตของสินทรัพย์เหล่านี้ แต่ยังรวมถึงแนวโน้มขาลงอีกด้วย (ข้อแตกต่างที่ 2) และอัตราทดที่ 1: 5 ช่วยให้คุณทำกำไรได้ 5 เท่า สูงกว่าที่คุณจะได้รับจากสถานการณ์ปกติ (ข้อแตกต่างที่ 3)
สิ่งสำคัญอีกหนึ่งประการก็คือ ค่าธรรมเนียมเต็มจำนวนจากการดำเนินธุรกรรมมีเพียง 0.2% เท่านั้น แน่นอนว่านี่อาจไม่สอดคล้องกับกฎข้อที่สองของบัฟเฟตต์ แต่ก็ไม่ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไรของการดำเนินธุรกรรมของคุณเท่าไรนัก (ความแตกต่างข้อที่ 4)
อีกหนึ่งข้อดีของโบรกเกอร์ NordFX คือ ความสามารถในการดำเนินธุรกรรมสำหรับนักเทรดผู้มีทรัพยากรการเงินที่จำกัด (ข้อแตกต่างที่ 5) ล็อตขั้นต่ำที่ NordFX คือ 1 หุ้น ตัวอย่างเช่น หากมูลค่าหุ้นของบริษัท Amazon.com inc. ปัจจุบันอยู่ที่ $3545 ซึ่งเป็นเงินจำนวนมาก ราคาหุ้นของบริษัท Ford Motor Company อยู่ที่ $20 และบริษัท Hewlett Packard ที่เพียง $15 ดังนั้น ด้วยเงินจำนวนเพียง $100 นักเทรดสามารถใช้หลากหลายกลยุทธ์การเทรดและสร้างพอร์ตการลงทุนได้ทุกประเภท ซึ่งพิจารณาถึงทั้งสถานการณ์ตลาดกระทิงและตลาดหมี
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การได้รับเงินปันผลเป็นสิ่งที่ดีหากตำแหน่ง “ซื้อ” (long) นั้นถือไว้จนกระทั่งถึงวันที่กำหนด แต่ในที่นี้เอง เราเห็นด้วยกับกฎข้อที่ 13 ของวอร์เรน บัฟเฟตต์โดยสมบูรณ์ แต่การชำระเงินปันผลจะถูกหักออกจากการถือตำแหน่ง “ขาย” (short) ดังนั้น ก่อนที่คุณจะเริ่มเทรด เราขอแนะนำให้คุณใช้เวลาไปกับการเรียนรู้และศึกษาสินทรัพย์ที่คุณจะทำงานด้วย จงอย่าลืมภาษิตที่ว่า Tantum possumus, quantum scimus - "เราทำได้เท่าที่เรารู้”