มิถุนายน 16, 2023

การเทรดค่าเงินออนไลน์ (ฟอเร็กซ์) คริปโตเคอเรนซี และสัญญา CFD กับสินทรัพย์ทางการเงินอื่น ๆ (หุ้น ทองคำ น้ำมัน ฯลฯ) ให้โอกาสพิเศษสำหรับนักลงทุนและนักเทรด อย่างไรก็ตาม การจัดการเงินอย่างเหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ หากคุณต้องการจะทำกำไรให้ได้ในระยะยาวและจำกัดความเสี่ยง ตรงนี้เองที่หลักการเรื่องการจัดการเงิน หรือ “money management” เข้ามามีบทบาทสำคัญ

การจัดการเงินคืออะไร?

การจัดการเงิน หรือที่เรียกว่า Money Management เป็นกลยุทธ์ที่กำหนดว่านักเทรดหรือนักลงทุนจะจัดการเงินทุนในสินทรัพย์ทางการเงินและธุรกรรมต่าง ๆ อย่างไร รวมถึงวิธีการควบคุมความเสี่ยงและจัดการขนาดคำสั่งเทรด ตลาดการเงินอาจผันผวนและคาดเดาได้ยาก เป้าหมายหลักของการจัดการเงินคือการรักษาเงินทุนของนักเทรดหรือนักลงทุนให้ได้มากที่สุดในช่วงเวลาที่ขาดทุน ในขณะเดียวกันก็ฉวยโอกาสจากโอกาสการเทรดที่ทำกำไรให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ องค์ประกอบหลักของการจัดการเงิน ได้แก่:

ขนาดคำสั่ง: การจัดการเงินช่วยกำหนดว่าคุณควรจะเสี่ยงเงินจำนวนกี่เปอร์เซ็นต์ในธุรกรรมเดียว นักลงทุนมืออาชีพหลายคนแนะนำให้จำกัดความเสี่ยงให้ไม่เกิน 1-2% ของจำนวนเงินทั้งหมดในหนึ่งคำสั่งเทรด เช่น หากเงินลงทุนเริ่มต้นของคุณคือ $10,000 ความเสี่ยงสูงสุดสำหรับหนึ่งคำสั่งไม่ควรเกิน $100-200

การกระจายความเสี่ยง: การจัดการความเสี่ยงเกี่ยวข้องกับการจัดการเงินในการลงทุนหลากหลายสินทรัพย์ทางการเงิน ความหลากหลายของสินทรัพย์ที่ให้บริการโดยโบรกเกอร์ NordFX ช่วยให้นักลงทุนสามารถจำกัดความเสี่ยงและสร้างพอร์ตการลงทุนที่ยืดหยุ่นได้มากขึ้น เช่น แทนที่จะทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดไปกับคู่เงินเดียวในตลาดฟอเร็กซ์ คุณสามารถกระจายเงินไปยังหลายคู่เงิน หุ้นจากบริษัทต่าง ๆ หรือตราสารทางการเงินอื่น ๆ วิธีนี้ หากคุณขาดทุนหนึ่งคำสั่ง คำสั่งอื่น ๆ อาจยังได้กำไร และช่วยชดเชยเงินที่ขาดทุนและรักษาต้นทุนของคุณไว้ได้

การกำหนดระดับ Stop-Loss: การจัดการเงินหมายถึงการกำหนดระดับ stop-loss ในแต่ละธุรกรรม stop-loss นั้นคือระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้าที่จะปิดคำสั่งเทรดเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนมากไปกว่านั้น การตั้งค่าระดับ stop loss นั้นต้องอาศัยการวิเคราะห์ตลาด และขนาดของการขาดทุนที่คุณพร้อมจะยอมรับได้ วิธีนี้จะช่วยให้คุณปกป้องเงินทุนและป้องกันการขาดทุนหนักในกรณีที่ตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่พึงประสงค์

การจัดการเงินคืออะไร ประกอบด้วยอะไรบ้าง และมีวิธีใช้งานอย่างไร1

ตัวอย่างการจัดการเงิน

ตัวอย่างที่ 1. ขนาดคำสั่ง สมมติว่าคุณมียอดเงิน $10,000 และคุณใช้กลยุทธ์การจัดการเงินโดยเสี่ยงไม่เกิน 2% ในแต่ละธุรกรรมเทรด นี่หมายความว่าคุณจะเปิดเทรดมูลค่าครั้งละ $200 ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนกว่านี้ คุณอาจจะแบ่งธุรกรรมออกเป็นหลายขั้นตอน เช่น ค่อย ๆ เพิ่มขนาดคำสั่งเทรด (เช่น คำสั่งเทรดแรกเปิดที่มูลค่า $100 หลังจากนั้นก็ค่อย ๆ เพิ่มเป็น $50 และอีก $50 จนกระทั่งขนาดทั้งหมดเท่ากับ $200) ในกรณีที่เกิดการขาดทุน คุณจะปิดคำสั่งเหล่านั้น (ปิดด้วยตนเองหรือใช้คำสั่ง stop loss) เมื่อการขาดทุนถึง $200

ตัวอย่างที่ 2 การกระจายความเสี่ยงกับสินทรัพย์: สมมติว่าคุณบริหารจัดการเงินลงทุนในสินทรัพย์การเงินหลายชนิด เช่น คุณอาจลงทุน 30% ในคู่เงินในตลาดฟอเร็กซ์ 30% ในหุ้นบริษัท 25% ในทองคำและเงิน และ 15% ในคริปโตเคอเรนซี การกระจายความเสี่ยงเช่นนี้จะช่วยปกป้องคุณจากการขาดทุนที่เกิดขึ้นในกลุ่ม ๆ เดียว และสร้างโอกาสการทำกำไรในอีกกลุ่มหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการประกันความเสี่ยงอย่างได้ผล คุณควรพิจารณาว่าตราสารทางการเงินเหล่านี้มีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไรบ้าง (ทางตรงหรือแบบผกผัน)

ตัวอย่างที่ 3 กำหนดระดับขาดทุน: สมมติว่าคุณมีคำสั่งในตลาด CFD เป็นหุ้นบริษัท XYZ คุณวางคำสั่ง stop loss ไว้ที่ 5% จากราคาซื้อ เช่น หากคุณซื้อหุ้น $100 คำสั่ง stop loss ของคุณจะตั้งค่าไว้ที่ $95 หากราคาหุ้นตกลงมายังระดับนี้ คำสั่งเทรดของคุณจะปิดลงเพื่อป้องกันไม่ให้ขาดทุนเพิ่ม

สิ่งสำคัญที่ต้องทราบก็คือตลาดฟอเร็กซ์และ CFD มีความเสี่ยงเสมอและไม่มีกลยุทธ์ไหนที่จะช่วยคุ้มครองคุณจากสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น หากคุณเห็นว่าคำสั่ง stop loss ของคุณมีผลบ่อยครั้ง คุณอาจจะต้องหยุดพักจากการเทรด และวิเคราะห์สาเหตุของการขาดทุนเหล่านั้นอย่างระมัดระวัง ทั้งนี้ การพนันจะส่งผลเสียเป็นอย่างมาก และนักเทรดจะต้องเรียนรู้วิธีจัดการอารมณ์เพื่อประเมินสถานการณ์อย่างถูกต้อง ซึ่งอาจเป็นไปได้ที่สไตล์การเทรดและกลยุทธ์ของคุณไม่เหมาะกับความผันผวนในตลาด ณ ปัจจุบัน และคุณจำเป็นต้องรอให้สถานการณ์นิ่งสงบลงก่อน หรือบางทีคุณควรใช้กลยุทธ์กับตราสารการเงินชนิดอื่น ๆ หรืออาจจะเปลี่ยนกลยุทธ์ไปเลยก็ได้

กูรูตลาดการเงินมีคำแนะนำอะไรมาฝากบ้าง?

ต่อไปนี้คือคำแนะนำจากนักลงทุนและนักเทรดชื่อดังเกี่ยวกับการจัดการเงิน (money management):

● Warren Buffett:

– "อย่าเสี่ยงสิ่งที่คุณมีเพื่อสิ่งที่คุณไม่ต้องมี"

– “รักษาเงินลงทุนของคุณ เมื่อสูญเสียไปแล้ว มันจะต้องใช้เงินจำนวนมากเพื่อกลับมาสู่เกมอีกครั้ง”

– "อย่าเสี่ยงมากเกินไป ทำเงินน้อย ๆ และรักษากำไรของคุณไว้จะดีกว่า"

● Paul Tudor Jones:

– "สิ่งสำคัญที่สุดในการลงทุนคือการรักษาเงินต้นของคุณ กำไรจะดูแลตัวมันเอง"

–"จัดการความเสี่ยงของคุณเสมอ หากคุณจัดการความเสี่ยงไม่ได้ คุณจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ"

● George Soros:

– “ทันทีที่คุณตั้งค่าระดับ stop-loss อย่าไปเปลี่ยนแปลงมัน มันจะช่วยให้คุณควบคุมอารมณ์และหลีกเลี่ยงการขาดทุนอย่างหนัก”

– "อย่าเสี่ยงด้วยเงินมากกว่า 2% ของเงินทุนในการเทรดครั้งเดียว มันช่วยให้คุณรักษาเงินลงทุนเพียงพอเพื่อโอกาสที่จะตามมา”

● Ray Dalio:

– "กระจายความเสี่ยงเงินของคุณไปกับหลากหลายสินทรัพย์และหลากหลายกลยุทธ์ อย่าทุ่มหมดหน้าตัก”

– "กำไรและการขาดทุนเป็นส่วนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการเทรด สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้วิธีจัดการความเสี่ยงและควบคุมอารมณ์ของตนเอง”

● Linda Raschke:

– "อย่าเติมเงินเพิ่มให้กับธุรกรรมที่ขาดทุน ทางที่ดีกว่าคือจำกัดการขาดทุน และจัดสรรเงินของตนเองให้กับโอกาสที่ดีกว่า"

– "ยึดตามแผนและกลยุทธ์ของคุณ อย่าปล่อยให้อารมณ์ส่งอิทธิพลต่อการตัดสินใจในการเทรดของคุณ"

คำแนะนำเหล่านี้จากนักลงทุนและนักเทรดชื่อดังยิ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดการเงิน การรักษาเงินทุน (แม้ว่าจะต้องจ่ายด้วยกำไร) และการควบคุมความเสี่ยง อย่าลืมว่าการจัดการเงินเป็กระบวนการที่ต้องอาศัยการติดตามอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการวิเคราะห์ และการปรับตัว ด้วยเหตุนี้ นักเทรดและนักลงทุนแต่ละคนจึงควรพัฒนากลยุทะ์เป็นของตนเอง พิจารณาความสามารถทางการเงินและเป้าหมาย และอย่าลืมความสำคัญในการเรียนรู้ พัฒนาทักษะทางการเงิน และการพัฒนาเรื่องการเทรดอย่างสม่ำเสมอ เมื่อนำปัจจัยเหล่านี้มาใช้ผสมผสานกันเท่านั้นจะช่วยให้ความสำเร็จของคุณไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่โชค แต่จะไปสู่ความเป็นมืออาชีพและกำไรที่มั่นคงได้


« บทความมีประโยชน์
ติดตามเรา (ในโชเซียลเน็ตเวิร์ค)